สังคม

'ทนายบิ๊กโจ๊ก' แฉ 34 เส้นทางเงินเว็บพนัน เอี่ยวตร.เพียบ - ‘ผู้การฯนำเกียรติ’ เปิดอักษรย่อ 'นายพล ต.' โยงรับเงิน

โดย petchpawee_k

20 มี.ค. 2567

59 views

ทีมทนาย “บิ๊กโจ๊ก” แถลงปมเงินทำบุญ 2 แสน ชี้ เป็นเงินส่วนตัว ไม่เกี่ยวข้องบัญชีม้า – ส่วนค่าตั๋วเครื่องบิน จนท.ป.ป.ช. ย้ำเป็นตั๋วของ พ.ต.ท.คริษฐ์ 3 คนกับครอบครัว – พร้อมเปิดเส้นทางการเงินเว็บ BNK Master กว่า 34 เส้น พบมีตำรวจเอี่ยวเพียบ แต่ดำเนินคดีเพียงบางเส้นเงิน ลั่นแบบนี้เรียก “อินทรีเลือกเหยื่อหรือไม่” ยืนยัน “บิ๊กโจ๊ก” ยินดีเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม หากเป็นไปโดยชอบ


วานนี้ 19 มีนาคม 2567 เวลา 10.00 น. ที่ห้องบอลรูม 3 ชั้น 7 โรงแรมฮอลิเดย์ อินน์ สุขุมวิท 22 ทีมทนายความของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. นำโดยนายณัฐวิชช์ เนติจารุโรจน์ และนายวราชันย์ เชื้อบ้านเกาะ ตั้งโต๊ะแถลงข่าวกรณีคณะพนักงานสอบสวนคดีเว็บพนันออนไลน์ มอบหมายให้ สน.ทุ่งสองห้อง ออกหมายเรียกบิ๊กโจ๊ก เพื่อเข้ามารับทราบข้อกล่าวหา ที่กองบังคับการตำรวจนครบาล 2 (บก.น.2) ในวันที่ 21 มี.ค.67 ข้อหา “เป็นเจ้าพนักงานร่วมกันฟอกเงินฯ และสมคบร่วมกันฟอกเงิน” พร้อมเปิดเส้นทางการเงินของบิ๊กโจ๊ก และเปิดเส้นทางการเงินสำคัญเชื่อมโยง “บิ๊กตำรวจใหญ่” ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติและครอบครัวรวมถึงกองบัญชาการที่รับผิดชอบโดยตรงกับพนันออนไลน์ โดยการแถลงข่าวครั้งนี้ใช้เวลานานถึง 2 ชั่วโมง


นายณัฐวิชช์ กล่าวว่า การแถลงข่าวในครั้งนี้จะเป็นการชี้แจงว่ากรณีที่มีความพยายามจะออกหมายจับหรือหมายเรียกบิ๊กโจ๊กนั้น มีอะไรที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และบิ๊กโจ๊กไม่ได้รับความเป็นธรรมอย่างไรบ้าง


ทีมทนายความ เริ่มต้นด้วยการชี้แจงข้อเท็จจริงของประเด็นที่ถูกเผยแพร่ออกไปทางสื่อก่อนหน้านี้ แต่พบว่าไม่เป็นความจริง หลักๆ มี 2 ประเด็น คือ กรณีที่บิ๊กโจ๊กถูกกล่าวหาว่า ใช้เงินจากบัญชีม้าไปทำบุญทอดกฐินพระราชทานที่วัดศาลาปูนวรวิหาร จังหวัดอยุธยา จำนวน 2 แสนบาท เมื่อปี 2565 และกรณีที่ถูกกล่าวหาว่าจ่ายเงินซื้อตั๋วเครื่องบินให้เจ้าหน้าที่ ป.ป.ช.


จากนั้นนายวราชันย์ ชี้แจงข้อเท็จจริงกรณีการทำบุญทอดกฐินพระราชทานว่า จากการที่มีการเผยแพร่ใบอนุโมทนาบัตร ที่เป็นชื่อของบิ๊กโจ๊ก ร่วมทำบุญจำนวน 2 แสนบาท โดยบอกว่าเป็นการใช้เงินจากบัญชีม้า ซึ่งใบอนุโมทนาบัตรที่เปิดเผยนี้ ถูกพนักงานสอบสวนที่เข้าตรวจค้นจับกุม พ.ต.ท.คริษฐ์ ปริยะเกตุ ลูกน้องของบิ๊กโจ๊ก ตรวจยึดได้จากในรถยนต์ของ พ.ต.ท.คริษฐ์ ซึ่งก่อนหน้านี้ ใบอนุโมทนาบัตรนี้ไม่เคยปรากฏที่ไหนมาก่อน แต่พอ พ.ต.ท. คริษฐ์ถูกจับกุม ก็มีการเปิดเผยออกมา  พร้อมเชื่อมโยงข้อมูลว่าเป็นการใช้เงินจากบัญชีม้า จึงขอตั้งข้อสังเกตว่า ต้องมีผู้ไม่หวังดีนำข้อมูลนี้ที่อยู่กับพนักงานสอบสวนไปให้กับสื่อ โดยบิดเบือนข้อเท็จจริง


ทั้งนี้ จากการตรวจสอบ พบว่า เมื่อวันที่ 9 ก.ย. 65 มีผู้มีจิตศรัทธา ชื่อ น.ส.หลุ่ย ได้มอบเงินสดส่วนตัวให้กับ พ.ต.ท.คริษฐ์ เพื่อให้นำไปทำบุญทอดกฐินพระราชทานที่วัดศาลาปูนฯ  ซึ่ง พ.ต.ท.คริษฐ์ ได้ใช้บัญชีที่ถืออยู่ โอนเงินไปให้วัด 2 แสนบาท และมีหลักฐานการพูดคุยทางไลน์กับพระอาจารย์ แจ้งข้อมูลของ น.ส.หลุ่ย เพื่อออกใบอนุโมทนาบัตร พร้อมส่งสลิปโอนเงินที่เขียนหมายเหตุไว้ว่า “เป็นเงินทำบุญกฐินพระราชทาน ซึ่งทางพระอาจารย์ก็ส่งภาพใบอนุโมทนาบัตรเป็นชื่อนางสาวหลุ่ยกลับมาให้ ดังนั้น รายการโอนเงินนี้ของพันตำรวจโทคริษฐ์ จึงไม่เกี่ยวกับใบอนุโมทนาบัตรของบิ๊กโจ๊ก ซึ่งลงวันที่ 29 ต.ค. 65”


โดยวันดังกล่าวเป็นวันทอดกฐินพระราชทาน ซึ่งบิ๊กโจ๊กได้เดินทางไปด้วยตนเอง และมอบเงินสดเพื่อทำบุญ และได้รับใบอนุโมทนาบัตรมาในวันนั้น ดังนั้น ที่บอกว่าเป็นการทำบุญจากบัญชีม้า จึงไม่เป็นความจริง อีกทั้งยังมีการพยายามกล่าวหาว่าเรื่องนี้เป็นความผิด ม.112 ซึ่งไม่เป็นธรรม โดยทนายความกำลังพิจารณาการดำเนินการทางกฎหมายกับผู้ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงผู้ที่ปล่อยข้อมูลในสำนวนการสอบสวนด้วย


อีกประเด็นคือกรณีที่ปรากฎในสื่อว่า บิ๊กโจ๊กมีการใช้เงินจากบัญชีม้าไปซื้อตั๋วเครื่องบินให้เจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. โดยมีการเชื่อมโยงให้ดูว่าบิ๊กโจ๊กมีความสนิทสนมกับเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช.  เรื่องนี้มีการตรวจสอบแล้วพบว่า การซื้อตั๋วเครื่องบินเป็นของ พ.ต.ท.คริษฐ์ เอง ซึ่งเดินทางพร้อมครอบครัว คือ ภรรยาและลูก รวม 3 คน ไปกลับกรุงเทพฯ-หาดใหญ่ โดยมีการโอนเงินซื้อตั๋วผ่านทางบริษัทตัวแทนเมื่อวันที่ 11 มี.ค. 65 จำนวน 13,100 บาท โดยมีหลักฐานเป็นข้อมูลการเดินทางที่ระบุชื่อชัดเจน  ดังนั้น จึงไม่ใช่การซื้อตั๋วเครื่องบินให้เจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. และบิ๊กโจ๊กไม่ได้เกี่ยวข้อง ซึ่งขอตั้งคำถามเช่นเดียวกันว่า พ.ต.ท.คริษฐ์ ได้พูดคุยซื้อตั๋วเครื่องบินกับบริษัทตัวแทนผ่านทางไลน์ จึงมีข้อมูลนี้อยู่ในโทรศัพท์มือถือที่พนักงานสอบสวนยึดไว้และหลังถูกจับข้อมูลนี้ก็ถูกนำมาเผยแพร่


ต่อมา นายณัฐวิชช์ ได้เปิดผังเส้นทางการเงินในคดีเว็บมินนี่ที่ สน.ทุ่งมหาเมฆ โดยชี้ให้เห็นว่ามีความเชื่อมโยงกันกับคดีเว็บบี BNK Master ที่ สน.เตาปูน ซึ่งยกตัวอย่างมา 34 เส้นเงิน โดยพบว่ามีตำรวจเอี่ยวเกือบ 30 นาย “พล.ต.ต. - ด.ต.” โดยเงินถูกยกมาจาก น.ส.พิมพ์พิไล หรือ คนที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นคนทำบัญชี BNK Master  โดยนายณัฐวิชช์ กล่าวว่า ในผังทั้งหมด ของคดีเว็บมินนี่ที่ สน.ทุ่งมหาเมฆ จะเห็นว่าไม่มีบิ๊กโจ๊กเข้าไปเกี่ยวข้อง  แต่ในส่วนของ พ.ต.ท.คริษฐ์ ของบัญชีที่ พ.ต.ท.คริษฐ์ ใช้นั้น มีความเชื่อมโยงกับบัญชีของ น.ส.พิมพ์วิไล ที่ถูกกล่าวหาว่าทำธุรกรรมให้กับเว็บ BNK Master ในคดีที่ สน.เตาปูน โดยเส้นทางการเงินของ น.ส.พิมพ์วิไล ถูกระบุอยู่ในคำร้องขอออกหมายจับผู้ต้องหาคดีเว็บมินนี่อยู่แล้ว ตั้งแต่ 22 ก.ย. 66 มียอดเงินเชื่อมโยงหมุนเวียนกว่า 600 ล้านบาท


ดังนั้น การไปตั้งเรื่องดำเนินคดีเว็บ BNK Master ที่ สน.เตาปูน โดยมีการพยายามเชื่อมโยงมาถึงบิ๊กโจ๊กนั้น เป็นการใช้ข้อมูลที่ปรากฏอยู่ในคดีเว็บมินนี่ของ สน.ทุ่งมหาเมฆ แล้ว ซึ่งคดีนี้ ป.ป.ช. มีมติรับไว้ไต่สวนตั้งแต่ 4 มี.ค. 67 พนักงานสอบสวนจึงไม่มีอำนาจสอบสวนต่อ ซึ่งมองว่า คดีที่ สน.เตาปูน พนักงานสอบสวนก็ไม่น่าจะมีอำนาจสอบสวนแล้วด้วย เพราะถือเป็นเรื่องเดียวกัน มีความเกี่ยวพันกัน

นอกจากนี้ สำหรับคดีเว็บมินนี่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้มีคำสั่งตั้งคณะพนักงานสอบสวนขึ้นมา ส่วนคดีเว็บ BNK Master กองบัญชาการตำรวจนครบาล ได้มีคำสั่งตั้งคณะพนักงานสอบสวนขึ้นมาเช่นกัน แต่ทั้ง 2 คณะ ก็เป็นพนักงานสอบสวนกลุ่มเดียวกันเป็นส่วนใหญ่ ผู้ที่ไปร้องทุกข์กล่าวโทษในคดีที่ สน.เตาปูน ก็คือคนที่อยู่ในคณะพนักงานสอบสวนของคดีเว็บมินนี่  อีกทั้งในการร้องทุกข์กล่าวโทษ ได้บอกว่ามีรายละเอียดเส้นทางการเงินหมุนเวียนในคดีรวมกันไม่น้อยกว่า 400 ล้านบาท ทั้ง 2 คดี ซึ่งถือเป็นคดีที่มีข้อหาเป็นความผิดมูลฐานฟอกเงิน มูลค่าตั้งแต่ 300 ล้านบาท เป็นต้นไป และผู้ถูกกล่าวหาก็เป็นตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ซึ่งตามระเบียบของกรมสอบสวนคดีพิเศษกำหนดให้อำนาจสอบสวนเป็นของกรมสอบสวนคดีพิเศษเท่านั้น ไม่ใช่คณะพนักงานสอบสวนที่มีการตั้งขึ้นมา


นายณัฐวิชช์ กล่าวต่อว่า ผู้ถูกกล่าวหาในคดีนี้ มีความสงสัยว่าเหตุใดจึงไม่ส่งสำนวนไปที่ ป.ป.ช. หรือส่งให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ จึงประสานกับทนายความของ น.ส.พิมพ์วิไล ซึ่งถูกกล่าวหาว่าทำบัญชีให้กับเว็บ BNK Master แล้วขอรายการเดินบัญชี หรือ Statement มาตรวจสอบ ซึ่งพบว่า บัญชีของนางสาวพิมพ์วิไล มีความเชื่อมโยงกับข้าราชการตำรวจมากกว่า 30 นาย เป็นเงินหลาย 10 ล้านบาท แต่กลับมีการออกหมายจับเพียงแค่ 3 คน หนึ่งในนั้นคือ พ.ต.ท.คริษฐ์


โดยทีมทนายความ ได้แบ่งเส้นเงินนี้ออกเป็น 3 กลุ่ม  กลุ่มแรกคือ กลุ่มที่ถูกดำเนินคดี  กลุ่มที่ 2 คือ กลุ่มที่มีความเชื่อมโยงแต่ยังไม่ถูกดำเนินคดีซึ่งพบว่าส่วนใหญ่เป็นข้าราชการตำรวจ และกลุ่มที่ 3 มีจำนวน 4 เส้นเงิน ซึ่ง น.ส.พิมพ์วิไล เคยไปร้องต่อกระทรวงยุติธรรมว่าถูกตำรวจเรียกรับเงิน ตอนนี้เรื่องอยู่ในชั้นกรมสอบสวนคดีพิเศษ แต่ยังไม่ได้รับความชัดเจน น.ส.พิมพ์วิไล จึงได้มีการไปแจ้งความที่ สภ.คอหงส์ จังหวัดสงขลา ต่อมาจึงมีการออกหมายจับ 2 ราย หรือ 2 เส้นเงิน


ส่วนอีก 2 เส้นเงิน คือเส้นเงินที่ 3 และเส้นเงินที่ 4 ขอตั้งข้อสังเกตว่า เป็นเพราะ 2 เส้นนี้หรือไม่ ที่ทำให้ยังไม่มีการส่งสำนวนไป ป.ป.ช. หรือกรมสอบสวนคดีพิเศษ


โดยเส้นเงินที่ 3 เชื่อมโยงไปถึง นาย ค. (รอง ฟ.) และมีการโอนต่อไปยังผู้สื่อข่าวและสมาคมนักข่าว 1.4 แสนบาท  ตำรวจหลายหน่วยงาน 2.4 ล้านบาท  ญาติของผู้บังคับบัญชาระดับสูง โอนตรงเข้าบัญชี ภรรยา พี่สาว และบุคคลใกล้ชิด รวม 2.3 แสนบาท


ส่วนอีกเส้นเงินหนึ่งคือเส้นเงินที่ 4 เชื่อมโยงไปถึง นาย อ. และ ดาบ ย. พบว่า มีการถอนเงินออกในพื้นที่เมืองทองธานี รวม 27 ล้านบาท ภายในระยะเวลา 3 เดือน

นายณัฐวิชช์ กล่าวต่อว่า จากการตรวจสอบ พบว่า ผู้ที่ไปยื่นคำร้องขอออกหมายจับบิ๊กโจ๊กเป็นหนึ่งในเส้นทางการเงินที่เชื่อมโยงกับ น.ส.พิมพ์วิไล จึงมองว่า การเก็บสำนวนไว้ทำเอง เป็นการกอดสำนวนไว้เพื่อปกปิดความผิดของตนเองและผู้บังคับบัญชาหรือไม่ อีกทั้งวันที่ไปขอศาลออกหมายจับบิ๊กโจ๊ก ก็เป็นวันที่หัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนไม่อยู่ในประเทศไทย ซึ่งการขอออกหมายจับผู้ต้องหาควรใช้มติร่วมกันของคณะพนักงานสอบสวนทั้งหมด


นายณัฐวิชช์ ย้ำว่า บิ๊กโจ๊ก ยินดีเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมทั้งหมดอยู่แล้ว หากเป็นการดำเนินการโดยชอบ แต่ถ้าพบว่ามีการบิดเบี้ยว ก็มีสิทธิที่จะโต้แย้งและรักษาสิทธิ์ของตนเอง โดยจากข้อมูลเส้นทางการเงินที่ได้เปิดเผยมานั้น ขอถามว่าการเลือกดำเนินคดีกับเส้นเงินบางเส้น คือเส้นที่ 32-34 ส่วน เส้นเงินที่ 3-4 ยังไม่มีการออกหมายจับดำเนินคดี  โดยชาร์จข้อมูลประกอบการแถลงข่าวเมื่อวานนี้ (19 มี.ค.67) ในส่วนของเส้นเงินที่ 32-34 ที่มีการออกหมายจับดำเนินคดีไปแล้วที่ สน.เตาปูน มีการใช้กราฟฟิกรูปอินทรี เฉพาะ 3 เส้นเงินนี้ด้วย ทีมทนายจึงตั้งคำถามว่า “อย่างนี้หรือเปล่า ที่เรียกว่าอินทรีย์เลือกเหยื่อ” ซึ่งนักข่าวถามว่า นกอินทรีที่ว่าหมายถึงใคร ทนายณัฐวิชช์ หัวเราะเบาๆ ก่อนบอกว่านักข่าวน่าจะรู้อยู่แล้ว

อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมากลุ่มผู้ถูกกล่าวหาในคดีเคยยื่นร้องขอความเป็นธรรมต่อผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติแล้วถึง 3 ครั้ง ให้เปลี่ยนคณะพนักงานสอบสวนเพราะมองว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม แต่จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่ได้รับการพิจารณาแต่อย่างใด


หลังแถลงข่าว ทีมทนายความ จะไปยื่นหนังสือต่อ 4 หน่วยงาน ได้แก่ ยื่นให้ กรมสอบสวนคดีพิเศษ ตรวจสอบเรื่องอำนาจการสอบสวน  ยื่นให้ ป.ป.ช. พิจารณาเรื่องข้อมูลที่เกี่ยวพันกันของ 2 คดี  ยื่นให้ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางดำเนินคดีกรณีบิดเบือนข้อมูลเรื่องเงินทำบุญ  และยื่นให้ นายกรัฐมนตรี ในฐานะ ประธาน ก.ตร. เพื่อให้รับทราบข้อเท็จจริงในอีกมุมหนึ่ง ซึ่งจะมีการพิจารณาอย่างไร ก็เป็นไปตามอำนาจหน้าที่  ซึ่งเมื่อวานนี้ (19 มี.ค.67) ยื่นไปแล้ว 2 ที่ คือ ป.ป.ช. และยื่นถึงนายกฯ ที่ศูนย์รับเรื่องร้องทุกข์ของรัฐบาล

ส่วนวันที่ 21 มี.ค. 67 ที่ พนักงานสอบสวนได้ออกหมายเรียกให้บิ๊กโจ๊กไปรับทราบข้อกล่าวหานั้น ขณะนี้ยังไม่ได้รับแจ้งจากบิ๊กโจ๊ก ว่าจะดำเนินการอย่างไร โดยต้องดูด้วยว่าการออกหมายเรียกนี้มีอำนาจโดยชอบหรือไม่

------------------------------------

“พล.ต.ต.นำเกียรติ” เปิดอักษรย่อ “นายพล ต.” และญาติ หลังพบเส้นเงินเชื่อมโยงบัญชีเดียวกับ “บิ๊กโจ๊ก” ที่ถูกกล่าวหา แต่ยังไม่ถูกออกหมายจับ เชื่อมูลเหตุถูกดำเนินคดียกแก๊งมาจากการทำคดี “เป้รักผู้การฯ - กำนันนก – ส่วยทางหลวง”


ขณะที่ พล.ต.ต.นำเกียรติ ธีระโรจนพงษ์ ผบก.ศฝร.บช.น. 1 ใน 8 ลูกน้องของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. บอกว่าตัวเองในฐานะผู้ต้องหารดีเว็บพนันมินนี่ ชี้แจงต่อสื่อเพิ่มเติมจากทีมทนายความ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ถึงเรื่องเส้นทางการเงิน


โดยระบุว่า ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้คือ พ.ต.ท.คริษฐ์ใช้บัญชีของบุคคลอื่นถึง 6 บัญชี ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ได้ปรากฏในสำนวนการสอบสวนของ สน.ทุ่งมหาเมฆแล้วทั้งสิ้น  รวมทั้งมีการสอบเจ้าของบัญชีแล้วด้วยแต่กลับมีการนำข้อเท็จจริงเส้นทางการเงินในเรื่องสบคบฟอกเงินมาเป็นอีกคดี แต่ยืนยันว่าเป็นการโอนเงินในห้วงเวลาเดียวกัน จากนัันเมื่อมีการสืบสวนขยายผลเส้นทางการเงินของ พ.ต.ท.คริษฐ์ ไปสู่การล่อซื้อ และจับกุมของสน. เตาปูน คือสำนวนคดี BNK Master ซึ่งเงินต่างๆ ที่มีการทำธุรกรรมของมินนี่ ข้อเท็จจริงได้ปรากฏแล้วว่า น.ส.พิมพ์วิไล เป็นเจ้าของบัญชี ที่มีการโอน และการทำธุรกรรมกับ พ.ต.ท.คริษฐ์ และพนักงานสอบสวนก็ทราบข้อมูลตรงนี้แล้ว


พล.ต.ต.นำเกียรติ ยืนยันว่า เส้นเงินทั้งหมดปรากฏแล้ว แต่มีการอาศัยเอาข้อเท็จจริงบางอย่างเพิ่มเติมเข้าไป คือ วันเวลาที่โอนเงินเป็นวันเดียวกัน และกล่าวหา พ.ต.ท.คริษฐ์ ว่า สมคบฟอกเงินอีกหนึ่งคดี ที่ สน.เตาปูน ก่อนมีการจะดำเนินคดีที่เป็นข้อเท็จจริงที่ต่อเนื่องกัน ซึ่งเป็นกรณีนี้ เป็นเรื่องที่ ป.ป.ช. จะต้องพิจารณาข้อเท็จจริงดังกล่าว ว่าเป็นความผิดที่ต่อเนื่องกันหรือไม่ ซึ่งตนไม่สามารถชี้ชัดได้ทำได้เพียงแค่ชี้แจงข้อเท็จจริงเท่านั้นว่าเป็นลักษณะนี้


ส่วนเรื่องเส้นทางการเงิน ตนในฐานะผู้ต้องหา ร่วมกับทีมทนาย ได้รวบรวมพยานหลักฐาน จึงทราบข้อเท็จจริงจากการประสานร่วมกับทีมทนายความของ น.ส.พิมพ์วิไล เพื่อนำมาตรวจสอบว่า มีการทำธุรกรรมระหว่าง น.ส.พิมพ์วิไล และ พ.ต.ท.คริษฐ์ ว่ามีการทำธุรกรรมอะไร และได้ทำธุรกรรมวันไหน


จากนั้น พล.ต.ต.นำเกียรติ ขยายความเพิ่มเติมจากทนายความถึงเส้นทางการเงินที่เส้นที่ 3 และ 4 ที่ยังไม่มีการออกหมายจับ  โดยกล่าวถึงเส้นทางการเงินที่ 3 เชื่อมโยงถึง นาย ค. (รอง ฟ.) ซึ่งมีการทำธุรกรรม และโยงไปถึงญาติ ประกอบด้วยภรรยา พี่สาว และพี่ชายของผู้บังคับบัญชาระดับสูง ยศนายพล อักษรย่อ “ต.” โดยภรรยามีอักษรย่อ “ก.” ส่วนพี่สาวมีอักษรย่อ “จ.” และพี่ชายอักษรย่อ “ช.” พร้อมยืนยันว่าไม่ใช่เส้นทางการเงินที่กระทำความผิด แต่เป็นเส้นทางการเงินที่เชื่อมไปถึงว่ามีการทำธุรกรรม


จากนั้น พล.ต.ต.นำเกียรติ ได้เล่าย้อนถึงมูลเหตุแรงจูงใจของการถูกดำเนินคดีตน และพวก จากการทำงานร่วมกับผู้บังคับบัญชา พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จึงทำให้ตกเป็นผู้ต้องหา ตนเองจึงกลับไปคิดย้อนดู จึงเห็นว่า อาจจะเกิดจากการทำคดีกำนันนก และมีการขยายผลเรื่องส่วยทางหลวงต่อ และอีกคดีคือคดีอดีตผู้การชลบุรี 140 ล้าน หรือคดี ”เป้รักผู้การเท่าไหร่“ และเมื่อถึงกระบวนการสอบสวนเราได้รับจากการข่าวว่า มีข้าราชการตำรวจที่เป็นผู้ต้องหา ในคดีนี้ มีส่วนเกี่ยวข้องกับ พ.ต.อ. ”ด“ ในเรื่องของการทำผิดกฎหมาย


 จากทางการสืบสวนพบว่ามีเส้นทางการทำธุรกรรมของ พ.ต.อ. ”ด“ ที่เชื่อได้จะกระทำความผิดต่อกฏหมาย และมีการทำธุรกรรมไปถึงบุคคลอื่นอีกจำนวนหลายคน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นข้าราชการตำรวจ โดยมีข้าราชการตำรวจอย่างน้อย 2 คนเป็นผู้หญิง อักษรย่อ ว. และ ก. โดยทั้ง 2 คนมีความสัมพันธ์กับข้าราชการตำรวจระดับสูง ทำให้การดำเนินการในการสืบสวนสอบสวนในคดีของตนที่ทำโดยตำรวจ PCT ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ


เมื่อผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า เป็นการยอมรับใช่หรือไม่ว่า พ.ต.ท.คริษฐ์ ใช้บัญชีม้า โดย พล.ต.ต.นำเกียรติ กล่าวว่า ตนกับ พ.ต.ท.คริษฐ์ เป็นผู้ต้องหา หาก พ.ต.ท.คริษฐ์ใช้บัญชีม้าในการกระทำความผิด หากมีเงินเข้า ก็ตะต้องถูกถอนออกหมดใช่หรือไม่ และหากใช้บัญชีม้าโอนมาให้ตน และโอนไปจ่ายค่ารักษาพยาบาลแม่ของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ และโอนให้บุคคลใกล้ชิด จึงตั้งคำถามว่าจะไปปกปิดบัญชีได้อย่างไร แบะนายให้เงิน พ.ต.ท.คริษฐ์ เอาเงินไปใส่ตู้ กลายเป็นลูกน้องมินนี่ เพียงเพราะไปพบภาพหลักฐานกล้องวงจรปิดบางส่วน โดยทั้งหมดนี้จะต้องไปสู้กันในชั้นศาลต่อไป  พร้อมย้ำว่าตนไม่ได้รู้จักกับ น.ส.มินนี่ จึงจะไปเรียกรับเงินได้อย่างไร


ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า หลังจากตกเป็นผู้ต้องหา ได้กลับไปตรวจสอบหรือไม่ว่าได้เงินที่ได้จากผู้บังคับบัญชา มีที่มาจากไหนอย่างไร พล.ต.ต.นำเกียรติ ระบุว่า การชี้แจงเป็นหน้าที่ของผู้บังคับบัญชาที่ให้เงินเรามา เราคงไปใช้อำนาจในการสืบสวนไม่ได้ เมื่อฝ่ายสืบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน ก็เป็นหน้าที่ของผู้กล่าวหา ที่จะต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าเงินที่ได้มานั้น มาจากการกระทำความผิด และที่ผ่านมาตนเองกับมินนี่ไม่เคยรู้จักหรือมีความเกี่ยวข้อง และจะรับเงินมาได้อย่างไร


 เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ก่อนหน้านี้ที่เป็นผู้ต้องหาเก็บตัวเงียบมาโดยตลอด ทำไมวันนี้ถึงออกมาเปิดหน้าชี้แจงกับสื่อ พล.ต.ต.นำเกียรติ ระบุว่า ส่วนนึงตนคิดว่าเป็นเพราะช่วงจังหวะ และโอกาส ซึ่งบางครั้งเราไม่ได้มีโอกาสชี้แจง เราเป็นผู้ถูกกระทำ “พี่น้องสื่อมวลชนไปตรวจสอบประวัติการทำงานของตนได้ ถ้าตนชั่วขนาดนั้น ให้ดูสภาพความเป็นจริงที่ตนอยู่ หรือดูสภาพที่ตนเองใช้ชีวิตในประจำวัน” และเงินที่ได้มา ทุกคนก็คงทราบว่าต้องเลี้ยงดูคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนที่ไปทำงานด้วยกัน ลำพังเงินเดือนของตน เลี้ยงลูกน้องไหวหรือไม่ กาแฟอมเซอนก็ตกวันละ 2 แก้วต่อวัน


เมื่อผู้บังคับบัญชาเมตตามอบเงินให้มาเพื่อดูแลลูกน้องเมื่อลูกน้องทำงานแล้วจะได้ไม่ต้องควักเงินในกระเป๋าตัวเอง แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือผู้บังคับบัญชาจะต้องมาเดือดร้อน ส่วนเหตุที่เดือดร้อนก็เพราะว่าลูกน้องของผู้บังคับบัญชาเองไปใช้บัญชีของคนอื่นเท่านั้น


พล.ต.ต.นำเกียรติ ยืนยันว่า การออกมาพูดในครั้งนี้ ไม่กังวลว่าจะมีผลกระทบอะไรเกิดขึ้น หากมีอะไรจะเกิดขึ้นก็พร้อมที่จะยอมรับ ซึ่งตั้งแต่วันตนเองถูกจับกุม ตนเองก็แทบจะไม่มีอะไรเหลือแล้ว เพราะที่ผ่านมาตนเองได้รับผลกระทบ ทั้งการถูกให้มาประจำ ศปก.ตร. และถูกตัดเงินเดือนตำแหน่ง และไหนจะครอบครัวที่จะต้องดูแล จึงไม่เหลือหน้าตาที่ทำงานมา และต้องน้อมรับในสิ่งที่ผู้บังคับบัญชาพิจารณา และดำเนินการ


ส่วนการแจ้งความดำเนินคดีกับ ผบ.ตร.นั้น ยืนยันว่าเป็นการใช้สิทธิ เนื่องจากตนได้รับโอนเงินจาก พ.ต.ท.คริษฐ์ เพียง 9 ครั้ง ก็ต้องเป็นผู้ต้องหา แต่ในคดียังมีตำรวจบางนายที่รับโอนเงินมากกว่า แต่กลับไม่ตกเป็นผู้ต้องหา


รับชมผ่านยูทูบได้ที่ : https://youtu.be/cdU2YE4a9As

คุณอาจสนใจ

Related News