สังคม

เสียทั้งใจเสียทั้งเงิน! เสี่ยเต็นท์รถหลงกล พยาบาลสาวหลอกให้รัก ตุ๋นเงินสูญ 38 ล้านบาท

โดย thichaphat_d

14 มี.ค. 2567

103 views

จากกรณีที่ นายวาสิตย์ (สงวนนามสกุล) อายุ 63 ปี  เจ้าของเต็นท์รถยนต์มือสอง นำเอกสารพร้อมหลักฐานการโอนเงิน เข้าแจ้งความกับ พ.ต.อ.อภิศักดิ์ โชติกเสถียร ผกก.สภ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี กรณีถูกสาวคนสนิท อายุ 39 ปี ซึ่งเป็นพยาบาลของโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งย่านพัฒนาการ นำสำเนาบัตรประชาชนของผู้อื่น จำนวน 680 คน  มาขอกู้เงินตั้งแต่ปี 63 ทำสูญเงินต้น 10 กว่าล้านบาทและผลประโยชน์รวม 38 ล้านบาท


นายวาสิตย์ บอกว่า เมื่อประมาณปี 63 มีผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งทำงานเป็นพยาบาลอยู่ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ได้เข้ามาตีสนิท จนกระทั่งมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกัน จากนั้นได้มาขอยืมเงินเพื่อจะเอาไปปล่อยกู้  โดยครั้งแรกโอนไปให้พยาบาลสาว 500,000 บาท  โดยฝ่ายหญิงเสนอให้ดอกเบี้ยร้อยละ 8 ซึ่งหลังจากนั้นได้คืนเงินมาให้บางส่วน


ครั้งที่สองเอาไปอีกหนึ่งล้านบาท  มีการจ่ายคืนมาบางส่วน  ด้วยความไว้ใจ ตนจึงโอนให้ทุกเดือน เพราะฝ่ายหญิง บอกว่า แต่ละเดือนจะมีคนมาขอหยิบยืมเงินเพิ่มขึ้นตลอด รายละประมาณ 30,000-60,000 บาท รวมทั้งหมด 680 ราย โดยเอาเอกสารสำเนาบัตรประชาชนและสัญญาเงินกู้มาให้ตน  ซึ่งตนก็ไม่รู้ว่าเป็นใครบ้าง  แต่ฝ่ายหญิงอ้างว่าเป็นของเพื่อนร่วมงานในโรงพยาบาล  ซึ่งยอดรวมขณะนี้อยู่ที่ประมาณ 38 ล้านบาท  


จนกระทั่งเมื่อต้นปีที่ผ่านมานี้ ตนได้แจ้งกับพยาบาลสาวว่า ขณะนี้ยอดเงินสูงแล้ว ให้หยุดดำเนินการทุกอย่างและขอให้ส่งมอบเงินคืนทั้งหมด ปรากฏว่าเมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เขาได้แจ้งกลับมาว่าไม่มีเงินจ่ายคืนให้ เพราะเอาเงินไปใช้จ่ายส่วนตัวหมดแล้ว ซึ่งเงินจำนวน 38 ล้านนั้นเป็นเงินทบต้นทบดอก  โดยเงินต้นทั้งหมดประมาณ 10 กว่าล้าน  ตอนนี้ตนหมดตัวเเล้ว ไม่สามารถติดต่อพยาบาลคนดังกล่าวได้เลย จึงตัดสินใจเข้าแจ้งความ เพื่อต้องการดำเนินคดีกับพยาบาลสาวรายนี้ให้ถึงที่สุด และเรียกร้องทรัพย์สินทั้งหมดกลับคืนมา  เพราะเงินจำนวนดังกล่าว ตนเองใช้เวลาเก็บหอมรอมริบมาตลอดชีวิต ตอนนี้อายุ 63 ปีแล้ว คิดว่าจะเอาเงินไปใช้ในบั้นปลายชีวิต ตอนนี้อายุตนเองก็มากขึ้นทุกวัน คงจะหาเงินจำนวนนี้ไม่ได้อีกแล้ว  


ต่อมา นายวาสิตย์ ได้นำหลักฐานเข้าปรึกษาข้อกฎหมายกับนายรัชพล ศิริสาคร ทนายความ เพื่อใช้ในการดำเนินคดีตามกฎหมายกับพยาบาลสาวคนดังกล่าว เพราะมาทราบภายหลังว่า เอกสารบัตรประชาชนทั้ง 680 ราย  เป็นลายเซ็นปลอม เบอร์โทรศัพท์ก็ปลอม  มีบางรายที่เป็นเบอร์จริง แต่พอโทรไปแล้วพบว่า เจ้าของเบอร์ไม่ได้ทำงานโรงพยาบาล จึงคาดว่า พยาบาลคนนี้ น่าจะนำเอกสารของผู้ที่มาใช้บริการโรงพยาบาล มาหลอกขอยืมเงินจากตน


หลังจากนี้จะปรึกษาทนายความว่าเป็นคดีเป็นฉ้อโกงหรือแค่คดีแพ่ง  และอยากให้ฝ่ายหญิงมาเจรจากัน  ส่วนภรรยาของตนก็ทราบเรื่องแล้วและได้คุยเข้าใจกันแล้ว

ด้านนายรัชพล ศิริสาคร ทนายความ  กล่าวว่า  ต้องตรวจสอบก่อนว่า มีการกู้ยืมเงินกันจริงหรือไม่ หากเป็นการกู้ยืม ก็จะไม่เข้าข่ายความผิดฐานฉ้อโกง เพราะไม่ได้มีการ  แต่ถ้าเอาบัตรประชาชนคนอื่นมาบอกว่าคนนี้จะกู้ยืมเงิน แต่ไม่ได้มีการกู้ยืมเงินกันจริงๆ  แต่หลอกเอาเงินเราไป แบบนี้ชัดเจนว่าเป็นข้อหาฉ้อโกง ก็ต้องแจ้งความภายใน 3 เดือน  นับตั้งแต่รู้เรื่องและรู้ตัวผู้กระทำความผิด ไม่งั้นจะขาดอายุความ ซึ่งเรื่องนี้ยังไม่ขาดอายุความ

ส่วนเรื่องเอกสารอาจจะต้องไปสอบถามกับทางโรงพยาบาล  ให้โรงพยาบาลตรวจสอบว่า ข้อมูลของผู้มาใช้บริการหลุดออกมาได้อย่างไร   เพราะตาม พ.ร.บ.ข้อมูลส่วนบุคคล  ระบุว่า คนที่ทำเกี่ยวกับเวชระเบียนต้องเก็บข้อมูลให้ดี  หากเกิดรั่วไหลไปก็เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ข้อมูลส่วนบุคคล  ส่วนคนที่ถูกเอาบัตรประชาชนไปใช้ก็เป็นผู้เสียหายเช่นเดียวกัน  เพราะถูกแอบอ้างก็ขอให้มายืนยันตัวตนว่าไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้  เพราะไม่งั้นอาจจะเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดด้วยก็ได้ ก็


ด้าน พ.ต.ท.เฉลิมพล ซื่อสัตย์ รอง ผกก.สอบสวน สภ.ปากเกร็ด กล่าวว่า เบื้องต้นได้สอบปากคำผู้ร้องเอาไว้ก่อนว่า เป็นการหลอก การชักชวนให้ไปลงทุนหรือปล่อยเงินกู้  มีข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร   ถ้าหากพบเข้าข่ายองค์ประกอบความผิดมาตราใด ก็จะดำเนินการแจ้งข้อกล่าวหาทันที  พร้อมเรียกตัวผู้ถูกกล่าวหามาสอบปากคำ รวมไปถึงพยานที่เป็นเจ้าของบัตรประชาชนที่ถูกนำมาใช้หลอกลวงในครั้งนี้ด้วย


รับชมผ่านยูทูบได้ที่ : https://youtu.be/GG5izpqA7tc


คุณอาจสนใจ

Related News