สังคม

ตม.ลงพื้นที่ ยันไร้ค้ากามย่านสุขุมวิท 11 - คนขับรถแฉเห็นยืนเรียงกันเป็นแถบ ทำไมเจ้าหน้าที่ไม่รู้เรื่อง

โดย nattachat_c

6 มี.ค. 2567

13 views

วานนี้ (5 มี.ค. 67) พันตำรวจเอก ปริญญา กลิ่นเกษร รองผู้บังคับการตรวจคนเข้าเมือง 1 และรองโฆษกสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เปิดเผยว่า


จากการตรวจสอบ พบข้อมูลของชาวฟิลิปปินส์ 2 คน ที่ถูกนำตัวไปสอบสวนที่ สน.ลุมพินี ว่า ทั้ง 2 คน เข้ามาประเทศไทยด้วยวีซ่าท่องเที่ยว ที่ยกเว้นการตรวจลงตรา สามารถอยู่ในประเทศไทยได้ไม่เกิน 30 วัน โดยไม่สามารถทำงานได้ ซึ่งทั้ง 2 คน ยังมีวีซ่าท่องเที่ยวอยู่ประเทศไทยได้ จนถึงวันที่ 16 มี.ค. 67 และ 30 มี.ค. 67


จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พฤติการณ์การทะเลาะวิวาทนั้น ยังไม่ชัดเจนว่าจะเข้าข่ายการเป็นภัยต่อสังคมที่จะสามารถขอเพิกถอนวีซ่าได้หรือไม่

โดยคำว่าเป็นภัยต่อสังคมต้องเป็นการก่อความวุ่นวายที่กระทบต่อความปลอดภัยของสังคม และประชาชนทั่วไป เช่น จะไปก่อเหตุแทงคนในตลาด


แต่ถ้าหากพนักงานสอบสวน ตรวจสอบพบว่าชาวฟิลิปปินส์มีความผิดทางกฎหมาย แล้วมีการดำเนินคดี ไม่ว่าจะเป็นความผิดต่อทรัพย์ หรือความผิดเกี่ยวกับการค้าประเวณี เป็นต้น ก็เป็นเหตุให้สามารถเพิกถอนวีซ่าได้ตามขั้นตอนกฎหมาย


แต่ตอนนี้ ต้องรอให้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อนว่า ชาวฟิลิปปินส์กลุ่มนี้ เข้ามาประเทศไทย แล้วทำอะไร มีการทำผิดกฎหมาย หรือมีการทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตหรือไม่

---------------
พล.ต.ต.วิทวัฒน์ ชินคำ ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 5 เปิดเผยความคืบหน้ากับทีมข่าวผ่านทางโทรศัพท์ว่า


เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ยังไม่สามารถแจ้งข้อหากับกะเทยชาวฟิลิปปินส์ที่ถูกควบคุมตัวมาได้ 4 คน เพราะตอนนี้ ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่า ใครถูก 4 คนนี้ ทำร้ายบ้าง


จึงอยากฝากไปถึงกะเทยไทยคนไหนที่ถูกทำร้ายร่างกาย แล้วมีคลิปยืนยันว่าเป็นตนเอง ให้นำมามอบให้กับเจ้าหน้าที่ เพื่อเป็นหลักฐานในการดำเนินคดีกับกลุ่มกะเทยฟิลิปปินส์

--------------

วันที่ 5 มีนาคม เวลา 14.30 น. ที่โรงแรม ภายในซอยสุขุมวิท 11/1 เป็นจุดที่กลุ่มเพศทางเลือกสัญชาติไทย กับกลุ่มเพศทางเลือกสัญชาติฟิลิปปินส์ มีปากเสียงกัน


ทาง พล.ต.ต.ประสาธน์ เขมะประสิทธิ์ ผบก.ตม.1 สั่งการให้

  • พ.ต.อ.ระพีพัฒน์ อุตสาหะ รอง ผบก.ตม. 1
  • พ.ต.อ.กาจภณ ปฐมัง ผกก.สืบสวน บก.ตม.
  • พ.ต.ท.สุริยะ พ่วงสมบัติ รอง ผกก.สืบสวน บก.ตม. 1


ลงพื้นที่ เพื่อสืบว่าเป็นการเข้ามาพักอาศัยไปตามขั้นตอนถูกต้องตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมืองหรือไม่ รวมถึงตรวจสอบบุคคลที่เข้าพักว่าอยู่เกินกว่าที่กฎหมายกำหนด หรือ โอเวอร์สเตย์ โดยตำรวจ กก.สืบสวน บก.ตม. 1 รวบรวมเก็บข้อมูล


โดยหลังตรวจสอบแล้วเสร็จ ก็จะส่งมอบให้ สน.ลุมพินี พิจารณาดำเนินการ จากข้อมูลการสืบสวน พบว่า มีชาวฟิลิปปินส์พักอาศัยอยู่ที่โรงแรมดังกล่าวประมาณ 10 คน และพักอาศัยกระจายอยู่บริเวณโดยรอบอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งเจ้าหน้าที่จะทยอยลงพื้นที่ตรวจสอบบริเวณดังกล่าวทั้งหมด


พ.ต.อ.ระพีพัฒน์ เปิดเผยว่า

ตอนนี้ อยู่ระหว่างพิสูจน์ทราบตัวบุคคลผู้ก่อเหตุว่าเป็นใครบ้าง โดยเป็นอำนาจของ สน.ลุมพินี ในการพิสูจน์ทราบบุคคลจากกล้องวงจรปิด และภาพวิดีโอทั้งหมด


เรื่อง บุคคลดังกล่าวออกจากประเทศไทยไปแล้วหรือไม่ ทางสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) เก็บรวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมดไว้แล้ว หากผู้ก่อเหตุหลบหนีออกนอกประเทศไปแล้วก็มีขั้นตอนการดำเนินการ เช่น การออกหมายแดง หรือหมายน้ำเงิน ต่อไป


ทั้งนี้ นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เข้ามาในไทยแบบวีซ่านักท่องเที่ยว แต่บางส่วนก็อาจลักลอบทำงานหลังเข้ามาแล้ว ซึ่งทาง สตม.ต้องไล่ตรวจสอบ และจับกุมเป็นรายกรณีเมื่อพบ


แต่ในส่วนที่สื่อมวลชนรายงานว่า มีสถานที่ที่ LGBTQ+ เข้าไปทำงาน หรือนัดพบเพื่อค้าประเวณีนั้น ยืนยันว่าไม่มีสถานที่ลักษณะดังกล่าวแน่นอน สื่อมวลชนสามารถไปตรวจสอบได้


ทั้งนี้ ที่พักทุกแห่งจะต้องแจ้งการเข้าพักทุก 24 ชั่วโมงเพื่อให้ทราบว่า หลังจากนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเข้าประเทศมาไปพักที่ใด หากผู้ประกอบการรายใดไม่ให้ความร่วมมือ ก็จะมีความผิด โดยหากเป็นโรงแรมมีโทษปรับ 8,000-10,000 บาทต่อผู้เข้าพัก 1 คน แต่หากเป็นที่พักทั่วไปจะมีโทษปรับ 1,600-2,000 บาทต่อผู้เข้าพัก 1 คน

--------------

คนขับรถแท็กซี่เล่าว่า เหตุจริง ๆ เกิดขึ้นช่วงค่ำของวันที่ 4 มีนาคม เขาเห็นกะเทยฟิลิปปินส์เกือบ 20 คน รุมทำร้ายกะเทยคนไทยประมาณ 2-3 คน รุมทำร้ายโวยวายมีการถ่ายคลิปวิดีโอ เขาเห็นจึงเข้าไปห้าม แต่ก็ฟังไม่ออกว่าโวยวายอะไรกันเนื่องจากพูดเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด


กระทั่ง เมื่อช่วงค่ำวานนี้ (5 มี.ค. 67) ระหว่างจอดรอผู้โดยสารก็เห็นว่า มีกลุ่มกะเทยจำนวนมากมายืนที่บริเวณปากซอยทางเข้าโรงแรมที่เกิดเหตุ ตอนนั้นก็เข้าใจได้เลยว่า น่าจะมาจากเรื่องที่ทะเลาะกันเมื่อคืนวันที่ 4 มีนาคม


คนขับรถแท็กซี่ ยังบอกด้วยว่า เห็นกะเทยฟิลิปปินส์มักยั่วโมโหสาวประเภทสองคนไทยเป็นประจำ ทั้งการแย่งลูกค้า และทำท่าทางเยาะเย้ยชวนโมโห แต่ไม่เคยเห็นลงมือกันสักครั้ง


กระทั่ง เมื่อคืนวันที่ 4 มีนาคม ที่มีการรุมทำร้ายกัน ทำให้กะเทยไทยกลับมาเอาคืน ขนาดเมื่อคืนนี้ มีกะเทยไทยจำนวนมากมาปิดหน้าโรงแรม แต่กะเทยฟิลิปปินส์ยังเปิดหน้าต่างจากห้องพักทำท่าทางเยาะเย้ยยั่วโมโหอีก


ขณะที่ทีมข่าวเดินทางไปที่หน้าโรงแรมที่เกิดเหตุ

ก็พบกลุ่มกะเทยไทยที่ยังปักหลักเฝ้าอยู่ บอกถึงสาเหตุที่มารวมตัวกันว่า เพราะเห็นคลิปที่พี่กะเทยไทยถูกยั่วโมโหจากฝั่งกะเทยฟิลิปปินส์ ทำให้กะเทยจากทั่วสารทิศมารวมตัวกันโดยไม่ได้นัดหมาย รวมถึงตัวเธอเองที่อยากมาร่วมสังเกตการณ์เผื่อช่วยเหลืออะไรได้


ยอมรับว่ารู้สึกถูกหยามศักดิ์ศรี มันไม่สมควรที่จะมาถูกทำร้ายแบบ เพราะฝั่งเราก็ใจเย็นมากแล้ว และเมื่อคืนที่เธอมาก็เห็นว่า ตำรวจคุมตัวกะเทยฟิลิปปินส์ไปสน.แล้วแต่ยังมีกระเทยฟิลิปปินส์อีกประมาณ 3-4 คน อยู่ที่โรงแรม ต้องให้อินฟลูเอนเซอร์คนไทยมาเคลียร์ให้ถึงจะยอมออกจากโรงแรมไป สน.


เมื่อถามว่าการมาปิดล้อมซอยกันเมื่อคืนนี้ จะยิ่งสร้างความบาดหมางกันระหว่างฝั่งไทยและฟิลิปปินส์หรือไม่ เพราะกลุ่มแฟนนางงามก็มักจะไม่ค่อยถูกกัน

เธอมองว่าเรื่องแฟนนางงามที่บาดหมางกันเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เพราะไม่ได้ทะเลาะกันตรง ๆ ส่วนใหญ่เป็นการพิมพ์แซวกันกัดกัน แต่ครั้งนี้เ ป็นเรื่องที่มีการทำร้ายร่างกาย ซึ่งฝั่งไทยก็ยอมไม่ได้อยู่แล้ว เพราะเป็นเรื่องของการหยามศักดิ์ศรีกันเกินไป

---------------------

วานนี้ (5 มี.ค. 67) ทีมข่าวได้พบกับคนขับรถเช่าในซอยสุขุมวิท 11 ซึ่งอยู่ปากซอยตรงข้ามกับโรงแรมที่กลุ่มกะเทยฟิลิปปินส์พักอาศัยอยู่ให้ข้อมูลว่า


ตนเองขับรถมาอยู่นับ 10 ปี บริเวณนี้เห็นมาตลอดว่า กลุ่มกะเทยฟิลิปปินส์นี้ เข้าออกประเทศไทยเป็นประจำ และจะพักโรงแรมนี้เป็นเดือน ช่วงแรกเข้ามาทำจมูก 1-2 คน ตอนนั้น ก็เข้าใจว่าเค้าคงมาทำศัลยกรรม และคิดว่าศัลยกรรมบ้านเราคงทำดี


ต่อมา ก็พบว่ามีจำนวนกะเทยฟิลิปปินส์เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งไม่ได้มาทำจมูกอีกแล้ว แต่มาทำมาหากิน โดยทุกเย็นจะเห็นเป็นภาพจนชินตาเวลาประมาณ 6 โมงเย็นเป็นต้นไป กะเทยฟิลิปปินส์จะมายืนบริเวณทางเข้าโรงแรมหน้าศาลพระภูมิ ยืนเรียกแขกชาวต่างชาติ บางครั้ง ก็เข้าไปกระโดดกอดเพื่อที่จะให้แขกซื้อบริการ ซึ่งกล้าพูดว่า เค้าขายบริการ เพราะเห็นแบบนั้นจริงๆ


ผู้สื่อข่าวถามว่า เมื่อรู้ว่ามีการขายบริการ และมายืนเรียงกันแบบนี้ ทำไมเจ้าหน้าที่ไม่รู้เรื่อง


คนขับรถเช่าได้แต่หัวเราะแล้วบอกว่า ขนาดพวกตนยังรู้ว่ามีการขายบริการแล้วเหตุใดตำรวจจะไม่รู้


ซึ่งกะเทยฟิลิปปินส์นี้ มาหากินในเมืองไทยแล้วยังมาเหยียดหยามคนไทย มันไม่สมควร หากเปรียบเทียบก็เหมือนหมาที่อาศัยอยู่ในบ้านเขาหางก็ควรจะลู่ ส่วนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นยอมรับว่าตกใจ เพราะไม่คิดว่าพลังกะเทยไทยจะมากมายขนาดนี้

---------------------

วานนี้ (5 มี.ค. 67) เวลา 18.30 น. นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม. พร้อมด้วย พล.ต.อ.อดิศร์ งามจิตสุขศรี ที่ปรึกษาผู้ว่าฯ กทม. และพ.ต.อ.ยิ่งยศ สุวรรณโณ ผกก.สน.ลุมพินี  ลงพื้นที่ย่านสุขุมวิท ตั้งแต่ซอย 3 - 13 โดยเฉพาะสุขุมวิท ซอย 11/1 ซึ่งเป็นจุดเกิดเหตุที่กลุ่มกะเทยไทยและฟิลิปปินส์เปิดศึกกัน เพื่อตรวจตราในหลายเรื่อง ทั้งสิ่งผิดกฎหมาย ร้านค้า ไกด์ผี แท็กซี่ สามล้อ รถรับจ้าง ที่มีพฤติกรรมหลอกลวงนักท่องเที่ยว


ก่อนเดินตรวจสอบ  นายชัชชาติ เปิดเผยว่า การลงพื้นที่เมื่อวานนี้ ไม่เกี่ยวข้องกับเหตุทะเลาะวิวาทที่ซอยสุขุมวิท 11/1 แต่เป็นเรื่องต่อเนื่อง ที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เร่งรัดภารกิจของ กทม. เพื่อดูแลความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะบริเวณที่มีนักท่องเที่ยวเยอะแถวเซ็นทรัลเวิลด์ นานา สุขุมวิท และสีลม


ที่ผ่านมา พบปัญหาขายบุหรี่ไฟฟ้า Sex Toy ไกด์เถื่อน แท็กซี่เถื่อนคอยจอดรถอยู่ริมถนน 


หลังจากนี้คงต้องร่วมมือกับหลายฝ่าย โดยเฉพาะเทศกิจ เจ้าหน้าที่ตำรวจ สคบ. เพื่อตรวจตราดูสิ่งที่ผิดกฎหมาย หากสังเกตุดู จะพบต่างชาติเข็นรถขายน้ำส้ม และน้ำทับทิม ซึ่งเกี่ยวข้องกับแรงงานผิดกฎหมาย


ที่ผ่านมายังไม่ได้รับรายงานเรื่องคนฟิลิปปินส์เข้ามาเป็นค้าประเวณี เพราะเราไม่มีอำนาจไปดูแล และยังไม่มีประชาชนแจ้งมาที่ Traffy Fondue มีเพียงเรื่องหาบเร่แผงลอยต่างชาติที่ไม่สนใจระเบียบ โดยเฉพาะกลุ่มนายทุนให้ต่างชาติมาเข็นรถขายน้ำผลไม้


นายชัชชาติ กล่าวต่อว่า กทม. ต้องดูแลความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง ส่วนการเข้าเมืองของคนฟิลลิปปินส์จะต้องร่วมมือกับหน่วยงานอื่นต่อไป โดยกลุ่มผู้ประกอบการที่ได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์ครั้งนี้ อาจจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับ กทม. โดยตรง แต่จะเข้าไปอำนวยความสะดวกให้ ขณะที่การเข้าพักในโรงแรมจะต้องมีการแจ้งชื่อผู้เข้าพัก ส่วนตัวไม่ทราบว่าคนฟิลิปปินส์กลุ่มนี้ใช้วีซ่าผิดประเภทหรือไม่


พร้อมกันนี้นายชัชชาติ กล่าวเสริมว่า “ ฟิลิปปินส์เเขาเป็นมิตรที่ดีกับเรา คนที่เข้ามาอย่างถูกต้องมีเป็นจำนวนมาก ส่วนที่เกิดเหตุนั้นเป็นส่วนน้อย ซึ่ง กทม.เอง ก็มีครูภาษาอังกฤษที่มาช่วยสอนเด็กเป็นจำนวนมาก เพราะฉะนั้นผมมองว่าเป็นเรื่องส่วนน้อยไม่ใช่เรื่องของประเทศ เป็นเรื่องของคนส่วนน้อยที่อาจจะทำไม่เหมาะสม แต่คนส่วนใหญ่ผมเชื่อเลยว่าชาวฟิลิปปินส์เป็นเพื่อนที่ดีต่อเรา เข้ามาช่วยดูแลทำงานอยู่อย่างถูกกฎหมายมากมาย”


เมื่อถามนายชัชชาติว่าดูคลิปแล้วมองว่าควรขึ้นแบล็คลิสต์หรือไม่ นายชัชชาติ กล่าวว่า ไม่ว่าจะเป็นชาติไหนหากทำผิดกฎหมายต้องดำเนินการตามกฏหมายอย่างเข้มข้น เพราะเข้าใจได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นรุนแรงเหมือนกัน รวมทั้งมีเรื่องของศักดิ์ศรีด้วย ตนขอเป็นกำลังใจให้ทุกคน


จากนั้นนายชัชชาติ พร้อมคณะ เดินตรวจตราสิ่งตั้งแต่ซอย 3 ไปจนถึงซอย 13 ก่อนจะระบุว่า เท่าที่ลงพื้นที่กวดขัน พบว่าปัญหาโซนสุขุมวิท หลักๆต้องมีการจัดระเบียบหาบเร่แผงลอย // ขอทาน // ยาเสพติด // บุหรี่ไฟฟ้า ฯลฯ จากนี้ต้องมีการประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาดูแลอย่างเข้มข้นต่อไป ทั้งนี้ อยากให้ Traffy Fondue เป็นสารพัดนึกเห็นอะไรไม่ชอบมาพากลแจ้งมาให้หมด เพื่อจะนำเรื่องนี้ไปกระจายต่อ เราเป็นเจ้าบ้าน เป็นผู้จัดการเมือง หากมีเรื่องที่ไม่ชอบมาพากล ขอให้แจ้งมา โดยเหตุที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องบุคคลกับบุคคล ไม่ใช่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง เช่น การหลอกนักท่องเที่ยว แท็กซี่ผี ไกด์เถื่อนพานักท่องเที่ยวไปหลอกรูดทรัพย์ เรื่องพวกนี้น่ากลัวกว่า

---------------------

รับชมผ่านยูทูบได้ที่ : https://youtu.be/inIMaLix2KI

คุณอาจสนใจ

Related News