สังคม

ผอ.โรงเรียนแจงนักเรียนชักครูไม่รีบส่งรพ.จนเสียชีวิต ยันครูช่วยเต็มที่แล้ว

โดย gamonthip_s

13 ก.พ. 2567

3.3K views

ผู้อำนวยการโรงเรียนแห่งหนึ่ง ในจังหวัดปทุมธานี ยืนยันพยายามดูแลเด็กอย่างเต็มที่ ไม่ได้ทิ้งช่วงเวลานานจนปล่อยให้เด็กเสียชีวิต ระยะเวลาที่เด็กมีอาการ และแจ้งผู้ปกครอง ใช้เวลาเพียง 10 นาทีเท่านั้นที่ผู้ปกครองมาถึงโรงเรียน ยอมรับโรงเรียนเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ทุกคนพยายามเต็มที่แล้ว ขอสังคมรับข้อมูลอย่างรอบด้าน


ล่าสุดทีมข่าวเดินทางไปยังโรงเรียนที่เกิดเหตุ เพื่อสอบถามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ผู้อำนวยการโรงเรียนยืนยันว่า โรงเรียนไม่ได้นิ่งนอนใจปล่อยเด็กให้อาการหนักจนเสียชีวิตที่โรงเรียน เหตุการณ์เริ่มจากเวลา 14.20 น. เด็กอาเจียนในห้องเรียน คุณครูประจำชั้นจึงให้เด็กไปล้างตัว ต่อมาเวลา 14.29 น. เด็กกลับมาที่ห้อง มานั่งระเบียงหน้าห้อง แล้วบอกคุณครูว่าเหนื่อย ปวดหัว คุณครูจึงให้นั่งพัก แล้วเดินไปห้องพยาบาลหยิบยามาให้เด็ก เพราะปกติทางโรงเรียนทราบอยู่แล้ว ว่าเด็กคนนี้เป็นโรคหัวใจ และหอบหืด ทำอะไรนิดหน่อยก็เหนื่อยง่าย แต่ยังไม่ทันได้ทานยา เด็กอาเจียนอีกรอบ 2


จากนั้นครูจึงรีบโทรไปแจ้งแม่เด็ก เพราะแม่สั่งไว้ถ้าเด็กมีอาการให้โทรบอกแม่ ซึ่งแม่เด็กอยู่ที่จังหวัดนครปฐม ไม่ได้อยู่ที่จังหวัดปทุมธานี แม่เด็กจึงโทรแจ้งคุณตาของเด็กให้มาดูหลาน พร้อมให้คุณครูถ่ายคลิปอาการเด็กให้คุณแม่ดูหน่อย คุณครูจึงให้เด็กนอนพักบริเวณหน้าห้อง ตรงระเบียงที่เด็กนั่งพัก แต่เด็กร้องไห้บอกว่าปวดหัว ครูจึงพูดปลอบเด็กว่าใจเย็น ๆ เดี๋ยวก็หายแล้ว เป็นการพูดปลอบใจเด็กตามที่ปรากฎในคลิปเพราะถ้าเด็กร้องกลัวว่าเด็กจะเหนื่อยมากขึ้น


จากนั้นคุณตาของเด็กมาถึงโรงเรียนเวลา 14.41 น. มาถึงภายใน 10 นาที เพราะบ้านคุณตาอยู่ใกล้โรงเรียน คุณตาขับรถจักรยานยนต์รับจ้างอยู่แถว ๆ โรงเรียน ช่วงที่คุณตามาถึงเด็กยังพูดคุยได้ คุณตาดูอาการเด็กอยู่ประมาณ 10 นาที คุณตาจับเด็กนั่งพิงกับพนักพิงแล้วก็ให้นอน แต่คุณครูของโรงเรียนเห็นเด็กอาการไม่ดี ไม่มีแรง จึงแนะนำคุณตาว่าพาเด็กไปโรงพยาบาลดีกว่า คุณตาจึงยอมให้พาเด็กไปโรงพยาบาล


ช่วงที่ครูแนะนำคุณตาให้พาเด็กไปโรงพยาบาล โรงเรียนแนะนำให้เรียกรถกู้ชีพ 1669 แต่คุณตาบอกว่าไม่เป็นไรจะขี่รถจักรยานยนต์พาเด็กไปเอง ครูในโรงเรียนจึงอาสาเอารถส่วนตัวพาเด็กไปโรงพยาบาล โดยคุณตาขอขี่รถจักรยานยนต์ตามไปที่โรงพยาบาล เพราะถ้าไปรถยนต์กับครู จะไม่มีรถกลับบ้าน คุณครูจึงให้นักเรียนชั้น ป.6 ซึ่งมีศักดิ์เป็นน้าของเด็ก ป.1 ที่เสียชีวิตนั่งไปด้วย


ซึ่งเหตุการณ์ทุกช่วงทางโรงเรียนมีหลักฐานเป็นกล้องวงจรปิดบันทึกไว้ทั้งหมด ส่วนคลิปที่มีผู้ส่งต่อกันนั้น เป็นคลิปที่คุณแม่ของเด็กขอให้ครูช่วยถ่ายส่งให้คุณแม่ดูทางไลน์ว่าเด็กมีอาการอย่างไร ไม่ใช่ตามที่เพจโจมตีว่าครูมัวแต่ถ่ายคลิป ไม่รีบนำเด็กไปส่งโรงพยาบาล เพราะการจะตัดสินใจอะไรต้องแจ้งคุณแม่ของเด็กให้รับทราบก่อน และต้องสอบถามอาการกับคุณตา เพราะคุณตาอยู่กับเด็กเป็นผู้ดูแลเด็ก น่าจะรู้อาการเด็กได้ดีกว่าครู


เมื่อไปถึงระหว่างทางพบว่าเด็กมีอาการอ่อนแรง แต่ยังหายใจ และหัวใจก็ยังเต้นอยู่ เด็กยังขยับตัวได้ เมื่อมาถึงโรงพยาบาลเด็กอาการแย่ลงจนหัวใจหยุดเต้น ชีพจรหายไป แพทย์ทำการปั้มหัวใจ จนหัวใจและชีพจรกลับมา แต่อยู่ ๆ เด็กหัวใจหยุดเต้นเป็นครั้งที่ 2 ทีมแพทย์พยายามช่วยชีวิต และปั้มหัวใจเป็นครั้งที่ 2 แต่ครั้งนี้ปั้มไม่ขึัน หัวใจไม่ทำงาน และเด็กเสียชีวิตที่โรงพยาบาลในเวลา 15.54 น. ยืนยันว่าเด็กไม่ได้เสียชีวิตที่โรงเรียนตามที่มีคนให้ข้อมูลกับเพจทางเฟซบุ๊ก


ทั้งนี้กรณีที่เกิดขึ้นโรงเรียนขอยืนยันว่าได้พยายามช่วยเหลือและทำอย่างเต็มที่แล้ว ทุกขั้นตอนมีกล้องวงจรปิดบันทึกไว้ทั้งหมด ทางโรงเรียน และคุณครูทุกคนเสียใจอย่างมากกับเหตุการณ์นี้ ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น อย่างครูประจำชั้นเองก็ทานข้าวไม่ได้นอนไม่หลับไปหลายวัน แต่ด้วยหน้าที่มีเด็กคนอื่น ๆ ในชั้นต้องดูแล ครูทุกคนก็ต้องเข้มแข็ง และทำหน้าที่ต่อไป


ในช่วงงานศพทางโรงเรียนก็ไปงานศพตั้งแต่รดน้ำศพ ฟังสวดตั้งแต่คืนแรก และร่วมทำบุญกับครอบครัวของเด็กไปจำนวนหนึ่ง พร้อมทั้งพูดคุยสอบถามให้กำลังครอบครัวเด็กมาตลอดว่าคุณแม่มีข้อสงสัยหรือติดใจส่วนไหนหรือไม่ โรงเรียนยินดีให้ข้อมูลแล้ว แต่คุณแม่ก็ไม่ได้ติดใจอะไร และยืนยันไม่ได้เป็นผู้ที่ไปร้องเรียนกับเพจออนไลน์ คุณแม่ไม่ทราบเหมือนกันว่าใครคือผู้ร้องเรียน


ทั้งนี้ทางโรงเรียนอยากจะฝากสังคมที่ติดตามข่าวนี้ อยากให้ฟังเหตุการณ์จากคนที่อยู่ในเหตุการณ์จริงๆ ไม่อยากให้ไปคิดกันเอง เพราะบางอย่างมีข้อมูลที่ไม่จริง ทางโรงเรียนยืนยันว่าเสียใจอย่างมาก และพยายามทำดีที่สุดแล้ว ยืนยันว่าไม่มีครูคนไหนที่จะปล่อยให้เด็กตาย เพราะลูกคนอื่นดูแลยากกว่าดูแลลูกตัวเอง ต้องดูแลให้ดีที่สุด เนื่องจากการตัดสินใจอะไรจะกระทบกับผู้ปกครอง ดังนั้นการตัดสินใจอะไร โรงเรียนจะต้องใช้ข้อมูลจากผู้ปกครอง เพราะถือว่าอยู่ใกล้ชิดเด็กมากที่สุด คนที่จะตัดสินอะไร อยากให้ฟังข้อมูลที่รอบด้าน

คุณอาจสนใจ

Related News