สังคม

ช็อก! ข้อมูลคนไทยรั่วไหล 19 ล้านชุด ถูกขายในเว็บมืด - 'สส.เท้ง' ซัดช่องโหว่ระบบความปลอดภัยภาครัฐ

โดย nattachat_c

7 ก.พ. 2567

236 views

วานนี้ 6 กุมภาพันธ์ 67 มีรายงานว่าบริษัทรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์รายงานข้อมูลคนไทยถูกประกาศขายใน Dark Web เป็นจำนวนมหาศาล ในเดือนมกราคมที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งหลุดมาจากหน่วยงานรัฐ


Resecurity บริษัทรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์สำหรับองค์กรขนาดใหญ่และหน่วยงานภาครัฐทั่วโลก เผยแพร่รายงาน ระบุถึงสถานการณ์ของประเทศไทย หลังมีอาชญากรไซเบอร์นำข้อมูล PII หรือข้อมูลที่สามารถใช้ระบุตัวตนของบุคคลได้ ซึ่งเป็นข้อมูลของพลเมืองไทยจำนวนมาก ไปประกาศขายผ่าน Dark Web หรือเครื่อข่ายเว็บมืดที่มักถูกใช้เพื่อเข้าถึงข้อมูลผิดกฎหมาย


โดยในช่วงปี 2567 ประเทศไทยเผชิญกับการรั่วไหลของข้อมูลที่เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับปี 2566  เห็นได้จากสถานการณ์ช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมาเพียงเดือนเดียว มีการตรวจพบการละเมิดข้อมูลสำคัญของพลเมืองอย่างน้อย 14 ครั้ง ในแพลตฟอร์มของอาชญากรไซเบอร์ ส่วนใหญ่มาจากแพลตฟอร์มที่เน้นข้อมูลผู้บริโภคเป็นหลัก ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามีกลุ่มอาชญากรที่กำลังเพ่งเล็งไปที่ข้อมูลของคนไทยอย่างจริงจัง โดยมุ่งเป้าไปที่ทรัพยากรอีคอมเมิร์ซ ฟินเทค และภาครัฐของไทย


หนึ่งในนั้นคือชุดข้อมูลที่ถูกเปิดเผยบน Breachedforums.is โดยมีป้ายกำกับว่าเป็นข้อมูลที่รั่วไหลออกมาจากเว็บไซต์ของ "กรมกิจการผู้สูงอายุ" ซึ่งประกอบด้วยข้อมูลส่วนบุคคล (PII) ที่เกี่ยวข้องกับประชากรผู้สูงอายุในประเทศไทยเป็นหลัก เป็นข้อมูลจำนวนมหาศาลกว่า 19,718,687 ชุด


ก่อนหน้านี้ก็มีการละเมิดข้อมูลใหม่ถูกเปิดเผยโดยหน่วยงานที่เรียกว่า Ghostr โดยเป็นข้อมูลจำนวน 5.3 ล้านรายการจากแพลตฟอร์มการซื้อขายหุ้น ครอบคลุมรายละเอียดของผู้ใช้ชาวไทย ตั้งแต่ชื่อ-นามสกุล หมายเลขโทรศัพท์ ที่อยู่อีเมล และหมายเลขบัตรประจำตัวประชาชน


อีกเหตุการณ์คือการรั่วไหลของชุดข้อมูลสำหรับผู้หางานชาวไทย 61,000 ชุด ประกอบด้วย ข้อมูลโดยละเอียด เช่น ชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน อีเมล เบอร์มือถือและโทรศัพท์บ้าน รหัสไปรษณีย์ วันเกิด ลักษณะทางกายภาพ เช่น น้ำหนัก ส่วนสูง สถานะการจ้างงานปัจจุบัน ข้อมูลเกี่ยวกับเด็ก ความสามารถด้านภาษา และรายละเอียดเงินเดือน


ที่กล่าวมาข้างต้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของข้อมูลคนไทยทั้งหมดที่มีการรั่วไหลเป็นจำนวนมาก และยังไม่สามารถระบุถึงต้นตอของการละเมิดข้อมูลได้อย่างชัดเจน แต่สิ่งที่แน่ชัดคือปลายทางของการนำข้อมูลไปใช้งาน มักจะเป็นการก่อเหตุหลอกลวงออนไลน์ สแกมเมอร์ หรือแก๊งคอลเซนเตอร์ และคาดว่าอาชญากรไซเบอร์บางส่วนยังมุ่งโจมตีไปที่ภาครัฐ กองทัพไทย และหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายด้วย


อย่างไรก็ตาม ในปี 2567 นี้ ประเทศไทยจะมีบทบาทสำคัญในการต่อสู้กับอาชญากรรมทางไซเบอร์ทั่วโลก ท่ามกลางภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่เพิ่มมากขึ้น นับเป็นความท้าทายที่ตอกย้ำถึงความจำเป็นเร่งด่วนสำหรับประเทศไทยในการปรับใช้และเสริมสร้างกลยุทธ์ความปลอดภัยทางไซเบอร์ให้แข็งแกร่งมากขึ้น เช่น การบังคับใช้กฎระเบียบความเป็นส่วนตัวของข้อมูลที่เข้มงวด และการปลูกฝังวัฒนธรรมการรู้เท่าทันอันตรายทางไซเบอร์ให้กับประชาชนและสถาบันต่างๆ เพื่อให้ประเทศไทยยังคงรักษาความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยในเวทีดิจิทัลระดับนานาชาติ
--------------

เพจ พรรคก้าวไกล - Move Forward Party โพสต์ข้อความระบุว่า 


[ ข้อมูลประชาชนหลุดจากหน่วยงานรัฐ เหตุการณ์ที่เกิดซ้ำๆ ประชาชนเสียหายที่สุด ]


แอปพลิเคชันหรือระบบดิจิทัลต่างๆ หลายส่วนในภาครัฐ ใช้วิธีจัดซื้อจัดจ้างโดยให้ผู้รับเหมาดูแลทั้งหมด รัฐไม่เข้าไปแตะ วันดีคืนดีเกิดมี “คนใน” ของผู้รับเหมาเจ้านั้น แอบเอาข้อมูลออกไปขายหรือเจาะระบบ ก็ทำได้ง่ายมาก


แม้รัฐบาลประกาศนโยบายคลาวด์ภาครัฐ (Cloud First Policy) แต่ยังมีขั้นตอนการบริหารจัดการที่ต้องวางกรอบเรื่องการจัดการความปลอดภัยไซเบอร์ให้รัดกุมยิ่งขึ้น ในการให้ภาครัฐเป็นคนควบคุม รักษาดูแลความปลอดภัยข้อมูลให้ประชาชน ไม่ใช่ให้ผู้รับเหมาควบคุมได้ทุกอย่าง


กรณีรายงานของบริษัท Resecurity ระบุว่าเฉพาะเดือนมกราคม 2567 มีข้อมูลที่ใช้ระบุตัวบุคคลของคนไทยเกือบ 20 ล้านชุดข้อมูลรั่วไหล และถูกประกาศขายบนฟอรัมซื้อขายข้อมูลผิดกฎหมาย โดยเป็นข้อมูลจากกรมกิจการผู้สูงอายุมากถึง 19.7 ล้านแถวข้อมูล


ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ - Natthaphong Ruengpanyawut สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ระบุว่าข้อมูลที่หลุดครั้งนี้สะท้อนถึงเหตุที่เกิดขึ้นซ้ำๆ มาโดยตลอด โดยเฉพาะในกรณีนี้เป็นข้อมูลที่น่ากังวลที่หลุดออกมาจากหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งปฏิเสธได้ยากว่าเป็นเรื่องของความบกพร่องในการบริหารจัดการข้อมูลประชาชนของภาครัฐ


[ เหตุเกิดจากคนใน และ ระบบที่มีช่องโหว่]


จากสถิติในการแฮ็กข้อมูลและระบบ ส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากคนในที่แอบขโมยข้อมูลออกไปขายหรือใช้ช่องทางคนในในการเจาะระบบ ซึ่งในส่วนนี้ค่อนข้างป้องกันได้ยาก


แต่จากที่ได้ติดตามข่าวข้อมูลรั่วไหลที่เกิดขึ้นในประเทศไทยมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ที่มีข้อมูลนักท่องเที่ยวหลุด หมายเลขบัตรประชาชนหลุด หรือช่วงสถานการณ์โควิดที่มีการนำข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการจัดการโควิดของประชาชนออกมาขาย เหตุการณ์เหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากคนในทั้งหมด แต่เป็นปัญหาจากระบบที่มีช่องโหว่ และนโยบายในการจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศหรือโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลภาครัฐที่ยังไม่ได้วางให้ถูกหลักการเท่าที่ควร


อย่างเช่น แอปพลิเคชันหรือระบบดิจิทัลต่างๆ หลายส่วนในภาครัฐ เวลารัฐจัดทำก็จะใช้วิธีการจัดซื้อจัดจ้างโดยให้ผู้รับเหมาดูแลทั้งหมด ทั้งในระดับเซิร์ฟเวอร์ (server) ระดับข้อมูล หรือในระดับแอปพลิเคชัน โดยรัฐไม่เข้าไปแตะเลย วันดีคืนดีเกิดมีคนในของผู้รับเหมาเจ้านั้นแอบเอาข้อมูลออกไปขายหรือเจาะระบบก็ทำได้ง่ายมาก เพราะข้อมูลทุกอย่างของภาครัฐและประชาชนอยู่กับทางผู้รับเหมาหมดเลย


[ รัฐต้องเร่งรัดนโยบาย Cloud First Policy ]


แม้รัฐบาลประกาศนโยบาย cloud first policy หรือการทำให้ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศขึ้นคลาวด์ให้หมดแล้ว แต่ยังมีขั้นตอนของการบริหารจัดการที่ต้องวางกรอบเรื่องการจัดการความปลอดภัยไซเบอร์ให้รัดกุมยิ่งขึ้น ในการให้ภาครัฐเป็นคนควบคุมข้อมูลและรักษาดูแลความปลอดภัยข้อมูลให้ประชาชน ไม่ใช่ให้ผู้รับเหมาควบคุมได้ทุกอย่าง


หากเปรียบแอปพลิเคชันที่ใช้ในการทำงานภาครัฐหรือบริการออนไลน์ที่ให้ประชาชนลงทะเบียนเป็นเหมือนสำนักงานหนึ่งแห่ง ปัจจุบันเมื่อภาครัฐหน่วยงานหนึ่งจะจัดทำแอปขึ้นมาก็จะจ้างผู้รับเหมาหนึ่งเจ้าไปขึ้นสำนักงานหลังใหม่ สมมติว่ามี 20 กระทรวงที่ทำแอปพลิเคชัน ก็เหมือนมีสำนักงานใหม่ขึ้นมา 20 หลัง โดยที่ภาครัฐจะให้ผู้รับเหมาเป็นคนดูแลรักษาความปลอดภัยให้กับภาครัฐเลย


แต่อย่าลืมว่าในสำนักงานแต่ละหลัง ผู้รับเหมาที่รับช่วงต่อจากภาครัฐแต่ละเจ้าก็มีวิธีการจัดการคนละแบบ 20 เจ้าก็ 20 แบบ วันดีคืนดีคนในของผู้รับเหมาเจ้านั้นแอบขโมยกุญแจเข้าตึกหลังนั้นแล้วไปขายต่อก็ได้


แต่หากเป็นการใช้ cloud first policy จะเหมือนกับการที่รัฐตั้งตึกหลังใหม่เป็นศูนย์กลางแห่งเดียว แล้วให้บรรดากระทรวงมาเช่าสำนักงานอยู่ในตึกนี้ เอาแอปพลิเคชันทุกชิ้นมากองอยู่ในคลาวด์ของภาครัฐ ซึ่งไม่ได้หมายความว่าเซิร์ฟเวอร์จะต้องอยู่ที่เดียว และไม่ได้หมายความว่าจะต้องมีผู้ให้บริการคลาวด์เพียงรายเดียวให้กับรัฐ…


เพียงแต่ภาครัฐจะสามารถบริหารจัดการให้ทุกแอปพลิเคชันหรือทุกบริการดิจิทัลภาครัฐที่ให้บริการอยู่บนคลาวด์หลายๆ ที่นั้น มีมาตรการในการรักษาความปลอดภัยแบบเดียวกัน ภาครัฐสามารถจัดการได้อย่างรวมศูนย์ และมีหน้าที่ในการดูแลรักษาและวางมาตรการการรักษาความปลอดภัยได้เองทั้งหมด นี่เป็นสถาปัตยกรรมระบบดิจิทัลของภาครัฐที่ตอนนี้หลายประเทศใช้อยู่


แต่ภาครัฐและภาคราชการไทยมักจะมีวิธีคิดว่าการเอาข้อมูลประชาชนและข้อมูลภาครัฐขึ้นคลาวด์แบบนี้ก็คือการเอาไปฝากไว้กับผู้ให้บริการข้างนอกแล้วรู้สึกไม่ปลอดภัย แต่จริงแล้วไม่ใช่ นี่เป็นความเข้าใจผิด เพราะการขึ้นคลาวด์ รู้จักการใช้คลาวด์ และรู้จักการตั้งค่ารักษาความปลอดภัยให้เป็น เป็นการรักษาความปลอดภัยได้ดียิ่งขึ้นมากกว่าวิธีการจัดซื้อจัดจ้างทำแอปพลิเคชันในปัจจุบันเสียอีก


[ ดึงต่างชาติลงทุน Data Center ในไทยอย่างเดียวไม่พอ ต้องมองให้ครอบคลุมเรื่องความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ]


ขณะนี้ท่าทีที่รัฐบาลแถลงออกมาเรื่องนโยบายด้านดิจิทัลของประเทศยังค่อนข้างให้น้ำหนักกับการดึงเม็ดเงินจากต่างชาติมาลงทุนในการตั้ง data center ประมาณแสนกว่าล้านบาทเป็นหลัก แต่รัฐควรจะมองให้ครอบคลุมเรื่องของความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ด้วย ซึ่งเรายังไม่ได้เห็นการแถลงออกมาจากทางกระทรวงดิจิทัลฯ หรือทางรัฐบาลเองว่าจะมีการลงรายละเอียดในเรื่องนี้อย่างไร


เรื่องนี้มีความสำคัญกับการรักษาความปลอดภัยของประชาชนด้วย เช่น การให้นักลงทุนต่างชาติมาตั้ง data center ในไทยอย่างเดียวไม่พอ เมื่อจะนำบริการดิจิทัลภาครัฐไปขึ้นคลาวด์ที่มาตั้ง data center ในไทยแล้ว สิ่งที่สำคัญกว่าคือมาตรการในการรักษาความปลอดภัยข้อมูลของประชาชนเป็นอย่างไร


ซึ่งจากการที่ณัฐพงษ์อยู่ในคณะกรรมาธิการวิสามัญงบประมาณฯ ได้เชิญหน่วยงานด้านดิจิทัลหลายหน่วยงานเข้ามาชี้แจง พบว่ายังไม่มีความชัดเจนว่าตกลงในงบประมาณปี 2568-2569 ที่จะเริ่มมีการ migrate ข้อมูลภาครัฐไปขึ้นคลาวด์ให้หมด จะมีมาตรการรักษาความปลอดภัยไซเบอร์ในการปกป้องข้อมูลแบบไหน ถ้าเป็นผู้ให้บริการคลาวด์ของไทยอยากเข้ามาให้บริการภาครัฐด้วยจะทำได้หรือไม่ ถ้าได้แล้วผู้ให้บริการจะต้องมีมาตรฐานความปลอดภัยขั้นต่ำอย่างไร


ดังนั้น ถ้ารัฐบาลอยากช่วยอุดช่องว่างและส่งสัญญาณเรื่อง cloud first policy รัฐบาลก็ควรออกมาแถลงความชัดเจนในเรื่องนี้ รวมทั้งเรื่องของความปลอดภัยไซเบอร์ด้วย


[ สร้างมาตรฐานความปลอดภัยขั้นต่ำ หลายประเทศทำได้แล้ว ]


“กรณีแบบนี้คนที่เสียที่สุดก็คือประชาชน พอข้อมูลออกไปแล้วสามารถถูกเอาไปขยายผล ทำซ้ำ ส่งต่อได้อีกไม่รู้จบ โดยที่เราไม่สามารถดึงข้อมูลกลับมาได้”


รัฐบาลควรมีความชัดเจนเรื่องนี้ ว่าเรื่องสถาปัตยกรรมทางด้านดิจิทัลของประเทศที่มีความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ และคุ้มครองข้อมูลของประชาชน ควรจะมีหน้าตาแบบไหน


“เรื่องนี้ไม่ได้ทำยาก เพราะถ้าดูในหลายๆ ประเทศที่โครงสร้างพื้นฐานทางด้านดิจิทัลของรัฐบาลใช้คลาวด์กันหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา อังกฤษ สิงคโปร์ ฯลฯ แต่ละที่มีมาตรฐานเรื่องความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์หมดแล้ว เขามีมาตรฐานไว้เลยว่าถ้ารัฐบาลจะเอาบริการดิจิทัลภาครัฐไปขึ้นคลาวด์ ผู้ให้บริการคลาวด์จะต้องมีมาตรฐานขั้นต่ำอย่างไร”


“เพราะฉะนั้นไม่ได้เป็นสิ่งที่ทำยาก รัฐบาลสามารถไปศึกษา เอามาปรับใช้ แล้วประกาศได้ทันทีเพื่อให้เกิดความชัดเจนในส่วนนี้ ประชาชนเองก็จะได้สบายใจด้วยว่าเรามีทิศทางในการรักษาความปลอดภัยข้อมูลที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น” ณัฐพงษ์กล่าว

--------------




คุณอาจสนใจ

Related News