สังคม

'น้าเดช' เปิดปาก ปฏิเสธข่มขืนเด็กวัย 13 พฐ.ตรวจรถตู้ เจอคราบเหลวสีแดง ไม่ชัดใช่เลือดหรือไม่

โดย thichaphat_d

7 พ.ย. 2566

84 views

น้าเดชเปิดปากแล้ว ยืนยันไม่ได้ข่มขืนเด็กวัย 13 ปี พบตำรวจยืนยันบริสุทธิ์ ภรรยาน้าเดชมั่นใจสามีไม่ได้ทำ พฐ.ตรวจพบคราบเหลวสีแดงในรถตู้ แต่ยังไม่ยืนยันว่าใช่เลือดหรือไม่

ความคืบหน้ากรณีย่าของเด็กหญิงวัย 13 ปี ชาวอำเภอแวงน้อย จังหวัดขอนแก่น  ร้องเรียนกับสื่อมวลชน ว่าหลานสาวถูกคนขับรถตู้โดยสารล่วงละเมิดทางเพศระหว่างเดินทางไปหาพ่อแม่ที่ กทม. จนเด็กหญิงมีอาการทางประสาท เพราะความหวาดกลัวกับเรื่องที่เจอ ทางครอบครัวกลัวว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรม จึงต้องมาร้องเรียนขอความเป็นธรรม

วานนี้ (6 พ.ย.66) นายแพทย์ปัณณวิชญ์ มีธรรม ผู้อำนวยการโรงพยาบาลแวงน้อย จ.ขอนแก่น ซึ่งเป็นโรงพยาบาลแห่งแรกที่รับตัวเด็กหญิงไว้ เปิดเผยว่า ตั้งแต่วันแรกที่ทางโรงพยาบาลแวงน้อย ได้รับเด็กหญิงเข้าเป็นคนไข้  มีการจัดทีมสหสาขาวิชาชีพของโรงพยาบาลมาให้คำแนะนำกับญาติ และปฏิบัติตามขั้นตอนการรักษาผู้ป่วยที่ถูกกระทำรุนแรง หรือ OSCC ซึ่งได้ประสานไปยังจิตแพทย์ ตรวจประเมินตามขั้นตอน  ก่อนจะส่งตัวไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลขอนแก่น  ซึ่งขณะนี้เด็กหญิงอยู่ในขั้นตอนกระบวนการรักษา โดยสิ่งที่ต้องดูแลและระมัดระวัง คือ  สิ่งที่จะไปกระทบต่อภาพจำหรือเรื่องราวที่เด็กเผชิญมา จะต้องหลีกเหลี่ยงการพูดคุยกับบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องให้น้อยที่สุด แม้กระทั่งคนในครอบครัว

โดยคนที่พูดคุยกับเด็ก จะต้องเป็นแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในการรักษา ซึ่งเด็กมีโอกาสที่จะหายเป็นปกติได้  แต่จะต้องใช้เวลารักษา  ซึ่งกรณีผู้ป่วยในลักษณะนี้อาจต้องใช้เวลาอย่างน้อย 6 เดือน ถึง 1 ปี ขึ้นอยู่กับปัจจัยแวดล้อม ทั้งนี้ อาการเพ้อ อาการหวาดกลัว ที่เกิดกับเด็กหญิง ในทางการแพทย์จะต้องไปหาสาเหตุทางกายภาพ เช่น การทำ CT Scan สมอง มีการเจาะเลือดตรวจ  ซึ่งผู้ที่จะให้คำตอบได้ชัดคือ แพทย์ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง ส่วนสภาพจิตใจของทางครอบครัว ก็มีการเข้ามาพูดคุยและเยียวยาจิตใจตั้งแต่วันแรก และมีการประเมินภาวะความเครียดของคนในครอบครัวอย่างต่อเนื่องด้วยเช่นกัน

ด้าน นายเดช คนขับรถตู้ที่ถูกกล่าวหา  เข้าพบตำรวจที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 แล้ว โดยเจ้าหน้าที่นำตัวไปตรวจร่างกาย เก็บตัวอย่างดีเอ็นเอ และสอบปากคำนานกว่า 3 ชั่วโมง จากนั้น ตำรวจ สภ.แวงน้อย ก็ปล่อยตัวนายเดชเดินทางกลับบ้าน โดยนายเดช ยืนยันกับผู้สื่อข่าว ว่าไม่ได้ทำอย่างที่ถูกกล่าวหา และเข้ามาพบตำรวจครั้งนี้เพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ของตัวเอง  

นายเดช ระบุว่า ตนเองไปรับ-ส่งเด็กหญิงวัย 13 ปีจริง แต่เป็นการไปรับ-ส่งตามปกติ โดยขาไป ออกจากอำเภอแวงน้อย เด็กนั่งรถไปพร้อมกับผู้โดยสารประมาณ 10 คน และไม่ได้ลงจากรถเป็นคนสุดท้าย  เพราะยังมีผู้โดยสารอีก 1 คน ที่ลงหลังจากนั้น ส่วนที่มีการตั้งข้อสังเกตเรื่องการไปส่งเด็กช้ากว่าเวลาที่ควรจะเป็น ก็เนื่องจากว่าวันนั้น ตัวเองออกจากอำเภอแวงน้อยดึก และต้องวิ่งส่งผู้โดยสาร 2 เส้นทาง จึงทำให้เสียเวลา ขณะที่ขากลับจากกรุงเทพฯ ตัวเองก็ได้รับไปเด็กหญิง ตามที่พ่อเด็กโทรศัพท์มาจองคิวรถไป ซึ่งขากลับเด็กหญิงก็กลับมาพร้อมกับพี่ชายวัย 16 ปี  โดยตัวเองก็ไปส่งทั้ง 2 คนที่บ้านตามที่ตกลงกัน

หลังจากผู้ถูกกล่าวหา นำรถตู้คันดังกล่าวมามอบให้ตำรวจแล้ว ก็ส่งต่อไปที่ศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 4 ขอนแก่น เพื่อตรวจสอบและเก็บหลักฐานภายในรถตู้  โดยเจ้าหน้าที่ใช้น้ำยาตรวจเช็ดบนเบาะนั่ง  เพื่อเก็บหลักฐานของเหลวสีแดง แต่ยังไม่ยืนยันว่าใช่เลือดหรือไม่ โดยจะนำไปตรวจทางนิติวิทยาศาสตร์อีกครั้ง เพื่อยืนยันว่าของเหลวที่พบนั้นคืออะไร ใช่เลือดหรือไม่

ด้าน นางหนิง ภรรยานายเดช ระบุว่า ไม่เชื่อว่าสามีก่อเหตุ พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า หากเป็นเรื่องจริง ทำไมผู้เสียหายไม่แจ้งความตั้งวันที่ 1 ต.ค. แต่เรื่องเลยผ่านมา 1 เดือนแล้ว ถึงมีการแจ้งความ นางหนิง ยังเปิดเผยว่า ครอบครัวของเด็กหญิง เคยเรียกใช้บริการรถตู้ของสามีมาแล้วถึง 3 ครั้ง โดยทางพ่อของเด็กหญิง จะเป็นคนที่โทรติดต่อให้ไปรับลูก พาเดินทางไปกรุงเทพมหานคร  ตนเองยังเชื่อใจว่าสามีไม่ได้ก่อเหตุ



รับชมผ่านยูทูปได้ที่ : https://youtu.be/AvW2lnF0NME



คุณอาจสนใจ

Related News