สังคม
อีกแล้ว สายสื่อสารเกี่ยวตา ด.ญ.วัย 13 โอกาสตาบอด 70% ต้องใส่เลนตาเทียม ยังไร้หน่วยงานรับผิดชอบ
โดย nattachat_c
4 ก.ย. 2566
59 views
ป้านักเรียนหญิง 13 ปี ร้องเพจสายไหมฯ หลังถูกสายเคเบิ้ล เขตราษฎร์บูรณะ เกี่ยวตา ระหว่างซ้อนท้ายจักรยานยนต์ ขณะที่แพทย์ระบุโอกาสตาบอด 70% ด้านทีโอทีออกตัวพร้อมชดใช้หากพิสูจน์ได้ว่าเป็นสายของบริษัท ส่วนตำรวจยังไม่รับแจ้งความ ให้แค่ลงบันทึกประจำวัน ปัดหน้าที่หาพยานหลักฐาน ก่อนจี้ชัชชาติ จัดระเบียบสายเคเบิลตาม ชี้มีคนเจ็บไปแล้วนับสิบราย
วานนี้ (3 ก.ย.) “น้องแป้ง” เด็กหญิง อายุ 13 ปี นักเรียนชั้น ม.2 โรงเรียนแห่งหนึ่ง เข้าขอความช่วยเหลือกับนายเอกภพ เหลืองประเสริฐ เจ้าของเพจ สายไหมต้องรอด กรณีถูกสายสื่อสารห้อยลงมาเกี่ยวตา ได้รับบาดเจ็บ ขณะนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ บนถนนประชาอุทิศ 46/1 แขวงบางมด เขตทุ่งครุ กรุงเทพมหานคร เหตุเกิดเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม ที่ผ่านมา เวลา 10.00 น.
นางสาวน้ำทิพย์ บุญเลิศ อายุ 33 ปี ป้าของเด็กผู้เสียหาย เล่าว่า ตนเองเพิ่งมาทำอาชีพไรเดอร์ได้ 3 วัน โดยจะพาหลานสาวซ้อนท้ายออกไปช่วยกันทำมาหากิน ในวันเกิดเหตุขณะที่ตนเองกำลังขับรถจักรยานยนต์ไปส่งอาหารให้ลูกค้าโดยมีหลานสาวนั่งซ้อนท้ายไปด้วย
เมื่อมาถึงจุดเกิดเหตุปรากฏว่ามีสายสื่อสารขาดห้อยลงมาได้เกี่ยวตาข้างซ้ายของหลานสาว จนได้รับบาดเจ็บ (คาดว่าเป็นสายที่ไม่ได้ใช้งานเก็บไม่เรียบร้อย/ตรงสายที่ขาดมีเส้นลวดโผล่มา) จากนั้นจึงรีบพาไปรักษายังโรงพยาบาล ซึ่งต่อมาแพทย์ระบุว่ากระจกตาแตก และเลนแก้วตาซ้ายแตกซึ่งมีโอกาสตาบอดถึง70%และต้องใส่เลนตาเทียม
หลังเกิดเหตุไปแจ้งความร้องทุกข์ที่ สน.ราษฎร์บูรณะ แต่พนักงานสอบสวนให้แค่ลงบันทึกประจำวันไว้ โดยบอกว่าไม่รู้จะตามให้ยังไง และให้ผู้เสียหายไปหาภาพวงจรปิดขณะเกิดเหตุเอาเอง จากนั้นตนจึงตัดสินใจไปตระเวนหากล้องวงจรปิด จนได้ภาพขณะเกิดเหตุ นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ของบริษัทสายสื่อสารดังกล่าว ได้มาเก็บสายที่ห้อยพะรุงพะรังลงมาในวันรุ่งขึ้น แก้ปัญหาโดยการนำสายที่ห้อยลงมากลางถนนไปผูกมัดกับต้นไม้ข้างทางและตัดกิ่งไม้ที่พาดสายสื่อสาร
ต่อมามีเจ้าหน้าที่ของ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน)โทรศัพท์มาสอบถามกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น โดยบอกว่าหากสายดังกล่าวเป็นของบริษัท ก็ยินดีที่จะช่วยเหลือเรื่องการรักษา และชดใช้ค่าเสียหายทั้งหมด ซึ่งจนถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีความชัดเจนแต่อย่างใด เนื่องจากคดียังไม่คืบหน้าเพราะตำรวจยังไม่รับแจ้งความเกรงว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรม อีกทั้งจนถึงขณะนี้ไม่มีหน่วยงานใดรับผิดชอบกับเหตุที่เกิดขึ้น
“น้องแป้ง” อายุ 13 ปี ผู้เสียหาย กล่าวว่า ขณะเกิดเหตุรู้สึกเหมือนมีอะไรทิ่มตาข้างซ้าย จึงเอามือมาปิดตาและบอกกับป้าซึ่งเป็นคนขี่รถมอเตอร์ไซค์ว่า “เจ็บตา” พอกลับมาถึงบ้าน คนที่บ้านก็ไม่รู้ว่าดวงตาเป็นอะไรบอกปล่อย ๆ ไปก่อน แต่ตอนนั้นตนเจ็บตามาก ตาเริ่มพล่ามัวมองเห็นเป็นภาพซ้อน อยากไปโรงพยาบาล จากนั้นตนใช้มือขยี้ตา ส่องกระจกดูตาดำกลายเป็นสีขาว ตกใจมากกลัวตาบอด
“พอไปถึงโรงพยาบาลหมอบอกว่าถ้ามาช้าอาจทำให้ตาบอด อย่างไรก็ตามอยากรักษาดวงตาให้หาย ซึ่งตนก็ไม่รู้ว่าจะกลับมาเป็นปกติหรือไม่ กลัวตาจะบอด กลัวเพื่อนล้อว่าตาบอด เป็นห่วงละกังวลเรื่องการใช้ชีวิตในอนาคตด้วย ยอมรับว่าตั้งแต่เกิดเหตุทำให้ใช้ชีวิตลำบาก ทุกวันนี้ใช้ตาขวาข้างเดียวในการมองหรืออ่านหนังสือ เพราะตาข้างซ้ายยังบวมต้องปิดไว้ตลอดเวลาเดี๋ยวฝุ่นเข้า”
นางสาวน้ำหวาน บุญเลิศ อายุ 33 ปี แม่ของเด็กผู้เสียหาย กล่าวว่า ในพื้นที่มี สก.เขตคอยดูแล แต่เขาไม่เห็นตรงจุดนั้น อยากให้สอดส่องให้ทั่วถึง ในพื้นที่มีทั้งสายไฟสายสื่อสารพะรุงพะรังเยอะหลายจุด ส่วนที่เกิดเหตุเป็นที่สารธารณะรถวิ่งผ่าน ไม่งั้นก็จะเกิดเหตุซ้ำรอยอีก ลูกสาวบาดเจ็บหนักถึงขั้นต้องผ่าตัดดวงตา “ตนเองถามลูกสาวทำใจได้หรือไม่หากรักษาไม่หายหรือตาบอด ลูกสาวตอบว่าทำใจได้ ทั้งนี้ก็อยากให้มีหน่วยงานเข้ามาดูแลรับผิดชอบ ไม่อยากให้ลูกสาวต้องสูญเสียดวงตาฟรี”
ด้านนายเอกภพ กล่าวว่า กรณีนี้ตำรวจควรจะรับแจ้งความเพื่อช่วยเหลือผู้เสียหายตามขั้นตอนของกฎหมาย ไม่ใช่ปล่อยให้ผู้เสียหายไปหาพยานหลักฐาน หรือให้ต้องมาร้องกับหน่วยงานเพื่อสังคม และสื่อมวลชนเพื่อให้เป็นข่าวโดยตนเองจะให้ทีมงานพาผู้เสียหายไปแจ้งความที่ สน. ราษฎร์บูรณะต่อไป
อยากฝากถึงผู้ว่าฯ กรุงเทพมหานคร ให้ประสานเจ้าหน้าที่ช่วยดำเนินการจัดระเบียบสายสื่อสารในพื้นที่ต่าง ๆ ให้เรียบร้อย เพราะยังมีสายสื่อสารห้อยพะรุงพะรังเสี่ยงอันตรายต่อประชาชนอีกหลายจุด ซึ่งที่ผ่านมาทีมงานสายไหมต้องรอดเคยได้รับร้องเรียน จากประชาชนกรณีได้รับผลกระทบจากสายไฟและสายเคเบิ้ล สารสื่อสารห้อยจนทำให้เกิดอันตราย ไม่ต่ำกว่า 10 กรณีแล้ว ซึ่งเจ้าของสายสื่อสารที่สร้างปัญหาก็เป็นของบริษัทสื่อสารเกือบทุกบริษัท จึงทำให้เห็นว่ายังไม่มีการเอาใจใส่ดูแลความเรียบร้อยอย่างจริงจัง
-------------
รับชมผ่านยูทูปได้ที่ : https://youtu.be/8hw0g_kok1o