สังคม

ผบ.ตร. หอบสำนวนคดีตู้ห่าว 14 ลัง ส่งมอบให้อัยการสูงสุด

โดย onjira_n

13 ม.ค. 2566

42 views

เมื่อเวลา 09.30 น. พลตำรวจเอกดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เดินทางมาที่สำนักงานอัยการสูงสุด อาคารศูนย์ราชการฯ แจ้งวัฒนะ เพื่อนำสำนวนคดีผับจินหลิงมาส่งมอบให้อัยการสูงสุด ตามที่ก่อนหน้านี้อัยการสูงสุด ได้มีคำสั่งตั้งคณะกรรมการกำกับการสอบสวนและการดำเนินคดีสำคัญ ในการดำเนินคดีอาชญากรรมข้ามชาติกับ นายชัยณัฐร์ กรณ์ชายานันท์ หรือ ตู้ห่าว กับพวก



โดยวันนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำลังสำนวนคดีมามอบให้กับอัยการสูงสุด ทั้งหมด 14 ลัง บรรจุเอกสารสำนวนคดี 67 แฟ้ม รวม 26,892 แผ่น ซึ่งมีนายกุลธนิต มงคลสวัสดิ์ อธิบดีอัยการสำนักงานการสอบสวน เป็นตัวแทนอัยการสูงสุดรับมอบสำนวนคดี



พลตำรวจเอกดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า คดีนี้เริ่มต้นมาตั้งแต่วันที่ 26 ตุลาคม 2565 ที่ ผู้บัญชาการตำรวจนครบาลได้นำเจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้นผับจินหลิง และมีการดำเนินคดีกับผู้เสพยาเสพติดจำนวนมาก หลังจากนั้นจึงได้มีการสืบสวนขยายผล จนสามารถดำเนินคดีกับผู้ต้องหาในคดีหลักทั้งหมด 43 ราย แล่งเป็นบุคคลธรรมดา 38 ราย สามารถจับกุมได้ 20 ราย หลบหนีอยู่ 18 ราย / และนิติบุคคล 5 ราย จับกุมได้แล้วทั้งหมด



ซึ่งก่อนหน้านี้ อัยการสูงสุดได้พิจารณาคดีนี้แล้วว่าเข้าข่ายคดีอาชญากรรมข้ามชาติ ที่มีการกระทำความผิดนอกราชอาณาจักร จึงได้มอบหมายให้คณะทำงานของพนักงานอัยการ ร่วมกันสอบสวนกับคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน ตั้งแต่วันที่ 16 ธันวาคมที่ผ่านมา ซึ่งคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนของตำรวจ ประกอบด้วยพนักงานสอบสวนจาก 4 กองบัญชาการ ได้แก่ กองบัญชาการตำรวจนครบาล / กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง / กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี / และกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด



โดยตอนนี้ ขั้นตอนของการสอบสวนได้เสร็จสิ้นแล้ว ซึ่งได้สอบผู้กล่าวหา 3 ปาก / สอบพยานบุคคล 444 ปาก / สืบพยานล่วงหน้า 23 ปาก / มีเอกสารหลักฐานประกอบสำนวน 26,892 แผ่น / และได้ประสาน ป.ป.ส. ให้ยึดทรัพย์สินไว้ตรวจสอบรวม 5,345 ล้านบาท วันนี้จึงนำสำนวนคดีมาส่งมอบให้กับอัยการสูงสุด เพื่อพิจารณาสั่งฟ้องต่อไป



ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ยืนยันว่า ที่ผ่านมา ตำรวจได้ทำงานในการสอบสวนร่วมกับอัยการมา และในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ ตนมีความมั่นใจในพยานหลักฐานทั้งหมดในสำนวนคดีว่าจะสามารถเอาผิดกับผู้ต้องหาได้ โดยมีหลักฐานที่ชี้ชัดว่านายตู้ห่าวเป็นเจ้าของผับจินหลิง และเกี่ยวข้องกับยาเสพติด ซึ่งหลักฐานหลายอย่าง ก็ไม่สามารถบอกให้ทราบได้ เพราะเกรงจะเป็นประโยชน์กับคนที่จะต่อสู้คดี ส่วนหลักฐานที่นายชูวิทย์แนะนำมา ก็มีพยานหลายปากที่ได้เรียกมาสอบสวนและเป็นประโยชน์ จึงนำเข้าสำนวนคดี รวมถึงคลิปวงจรปิดด้วย หลังจากนี้ขอให้รอดูการพิจารณาของชั้นอัยการและชั้นศาลต่อไป ส่วนเรืาองเส้นทางการเงินนอกประเทศ ก็จะดำเนินการตืดตามต่อ ตอนนี้ถือว่าพบพยานหลักฐานจำนวนมากแล้ว



ขณะที่การดำเนินการกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีนี้ ก็ได้ให้ออกจากราชการไว้ก่อนแล้วทั้งหมด ซึ่งเป็นไปตามขั้นตอน โดยเมื่อพบการกระทำผิดก็มีการดำเนินคดีอาญา / คดีความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ / และมีการตั้งคณะกรรมการสอบวินัยร้ายแรงอยู่แล้ว แต่เมื่อพิจารณาแล้วกังวลว่าจะมีผลกระทบเข้ามายุ่งเกี่ยวกับคดี จึงมีคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนด้วย



ด้าน นายกุลธนิต มงคลสวัสดิ์ อธิบดีอัยการสำนักงานการสอบสวน กล่าวว่า ที่ผ่านมาอัยการกับตำรวจได้มีการทำงานร่วมกันในการสอบสวน โดยมีการประชุมหารือ รวบรวมพยานหลักฐาน ซึ่งมั่นใจว่าทำอย่างดีที่สุด จึงขอให้ประชาชนเชื่อมั่นในการทำงาน พร้อมยืนยันว่าตำรวจกับอัยการไม่มีการร่วมกันสมคบเรียกรับผลประโยชน์ใดๆ ส่วนอัยการจะพิจารณาสำนวนคดีทันกรอบระยะเวลาที่จะครบกำหนดฝากขังผู้ต้องหารายแรกในวันที่ 20 มกราคมนี้หรือไม่ ยืนยันว่าอัยการมีคณะทำงานและที่ผ่านมาก็ทำงานร่วมกันกับตำรวจมาตลอดอยู่แล้ว



โดยในการส่งมอบสำนวนคดีวันนี้ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง ได้เดินทางมาร่วมสังเกตการณ์ด้วย ซึ่งช่วงหนึ่งของการให้สัมภาษณ์ นายชูวิทย์ได้ยกมือ และเข้าไปพูดกับผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติว่า ที่มาวันนี้ ตนไม่มีคำถาม แต่มาขอบคุณและให้กำลังใจคณะทำงานในฐานะตัวแทนประชาชน ซึ่งตอนนี้ถือว่าตำรวจและอัยการดำเนินการมาจนหมดหน้าที่ในขั้นตอนการสอบสวนแล้ว หากที่ผ่านมามีบางอย่างที่ตนก้าวล่วงไปต้องขออภัย แต่ยืนยันว่า ตนทำในนามของประชาชน ไม่มีผลประโยชน์ใดแอบแฝง และก็มั่นใจว่าทั้งอัยการและตำรวจซึ่งเป็นผู้นำองค์กรกฎหมาย ก็คงไม่มีเรื่องผลประโยชน์แอบแฝงเช่นกัน ส่วนหลังจากนี้ ตนก็จะจับตาดูคดีนี้ต่อไปแน่นอนจนถึงชั้นศาล



ทั้งนี้ ก่อนหน้าที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติจะเดินทางมาถึง นายชูวิทย์ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน ระบุว่า ตนเป็นตัวแทนประชาชนที่ต่อสู้เรื่องนี้มาเป็นระยะเวลากว่า 84 วัน จนวันนี้เดินทางมาถึงจุดสุดท้ายของบทแรกแล้ว หลังจากนี้จะเป็นการต่อสู้ของผู้ต้องหาในชั้นศาล ซึ่งตนมั่นใจว่าคดีนี้จะไปถึงศาลฎีกา ส่วนตนยังมีข้อติดใจอะไรเกี่ยวกับสำนวนคดีหรือไม่ พูดไปวันนี้ก็คงไม่มีประโยชน์เพราะมีการสรุปสำนวนแล้ว วันนี้จึงขอแค่มาให้กำลังใจคณะทำงานเท่านั้น แต่ตนมั่นใจในพยานหลักฐานว่าประชาชนจะเป็นฝ่ายชนะ และหากหลังจากนี้จะมีการเรียกตนเข้าไปเป็นพยาน ตนก็พร้อม สู้ที่ไหนถึงไหนถึงกัน



คุณอาจสนใจ