สังคม

วสท.ตรวจแผ่นปูนสะพานกลับรถร่วง คาดรื้อถอนผิดขั้นตอนทำถล่ม

โดย taweelap_b

2 ส.ค. 2565

195 views

เมื่อวันที่ 2 ส.ค. 65 เวลา 12.00 น. ดร.ธเนศ วีระศิริ นายกวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย พร้อมทีมวิศวกร เดินทางมาที่จุดเกิดเหตุชิ้นส่วนสะพานกลับรถถล่ม บริเวณถนนพระรามที่ 2 กิโลเมตรที่ 34 เพื่อตรวจสอบโครงสร้าง และหาสาเหตุของอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น


ภายหลังการตรวจสอบ ดร.ธเนศ กล่าวว่า การตรวจสอบวันนี้ ได้เห็นเพียงแค่สภาพชำรุดคงค้าง แต่ไม่เห็นตัวคานหลักที่ร่วงลงมาแล้วและได้ถูกเคลียร์ออกไปแล้ว ทั้งนี้ เบื้องต้นสามารถคาดการณ์ถึงสาเหตุที่เป็นไปได้สูงว่า อาจเกิดจากขั้นตอนของการรื้อถอน ซึ่งโดยปกติการก่อสร้างทั่วไป จะต้องสร้างจากด้านล่างขึ้นด้านบน ส่วนการรื้อถอนก็ต้องรื้อตรงกันข้ามกัน คือ จากด้านบนลงด้านล่าง


ในกรณีของสะพานนี้ ลักษณะโครงสร้าง จะมีตัวคานหลักรูปตัวไอ และมีคานซอยเป็นตัวยึด 4 อัน แล้วปูพื้นทับลงไป ส่วนแบริเออร์แผงกันตก จะถูกนำมายึดกับบริเวณส่วนที่ยื่นออกมาของคานหลัก ซึ่งต้องติดตั้งส่วนนี้เป็นขั้นตอนท้าย ๆ ดังนั้น ในขั้นตอนของการรื้อถอน ก็ควรจะต้องรื้อตัวแบริเออร์แผงกันนี้ก่อน แล้วค่อยไล่ลำดับการรื้อถอนกลับมา


แต่เท่าที่เห็นจากการตรวจสอบเบื้องต้น มีการรื้อส่วนที่เป็นตัวพื้นออกก่อนแบริเออร์ ทำให้น้ำหนักที่ลงบนตัวคานหลัก ไม่สมดุล โดยตัวคานที่เคยถูกทับด้วยพื้น ไม่มีน้ำหนักอะไรทับไว้แล้ว แต่ส่วนริมของคานที่ยื่นออกมายังต้องแบกรับน้ำหนักของแบริเออร์ ทำให้อาจเกิดการบิดได้ จนในที่สุดคานร่วงลงมา ทั้งนี้ ข้อสันนิษฐานดังกล่าว เป็นเพียงข้อสันนิษฐานเบื้องต้น แต่ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าสาเหตุของอุบัติเหตุนั้นเกิดจากเรื่องใด ยังสรุปไม่ได้ว่าเป็นความประมาทได้หรือไม่ เพราะตนก็ไม่เห็นการทำงานที่แท้จริง ต้องไปดูในรายละเอียดอีกครั้ง ข้อสันนิษฐานเป็นการคาดการณ์จากสภาพที่เห็นเท่าที่เหลืออยู่เท่านั้น


ส่วนการควบคุมงานโดยวิศวกร ปกติแล้วการก่อสร้างทุกที่จะต้องมีวิศวกรควบคุมอยู่แล้ว หากไม่มีถือว่ามีความผิด แต่กรณีนี้ยังไม่ได้มีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบ ซึ่งจะต้องตั้งขึ้นมาตรวจสอบต่อไป ส่วนสาเหตุเรื่องการเสื่อมสภาพของตัววัสดุนั้น ก็มีความเป็นไปได้ทั้งหมด โดยอุบัติเหตุอาจมีหลายสาเหตุประกอบกัน แต่ยังไม่สามารถชี้ชัดได้ว่าเป็นเพราะการเสื่อมสภาพจากเหตุไฟไหม้หรือไม่


ดร.ธเนศ กล่าวอีกว่า ตนได้ไปร่วมประชุมกับอธิบดีกรมทางหลวง เพื่อหาแนวทางในการแก้ไขปัญหาการจราจรติดขัด โดยต้องดูความปลอดภัยของประชาชนเป็นหลักว่าจะมีความเสี่ยงในการสัญจรไปมามากน้อยแค่ไหน ซึ่งได้ให้ข้อสรุปไปว่า หากจะมีการตรวจสอบหรือแก้ไขซ่อมแซมต่อไป ควรจะต้องถอดโครงสร้างเดิมที่เหลืออยู่ออกก่อน ซึ่งอธิบดีกรมทางหลวง ได้มีคำสั่งแล้วว่า ให้ดำเนินการรื้อคานอีก 4 อันที่เหลืออยู่ออกทั้งหมด เพื่อให้ประชาชนสามารถสัญจรผ่านไปมาได้ ไม่ต้องกังวลว่าคานจะร่วงลงมาอีก ซึ่งจะเริ่มดำเนินการทันทีในคืนนี้ คาดว่าวันพรุ่งนี้ (3 ส.ค. 65) น่าจะสามารถเปิดการจราจรในถนนเส้นทางหลักได้


หลังจากนี้ กรมทางหลวง และวิศวกรรมสถาน จะเร่งตรวจสอบโครงสร้างของสะพานอย่างละเอียด ด้วยการสแกน 3 มิติ และเก็บตัวอย่างไปตรวจทางห้องปฏิบัติการ อย่างไรก็ตาม ต้องขออภัยประชาชนด้วย หากมีการดำเนินการที่ล่าช้าหรือผิดพลาดไป และนอกจากสะพานที่เกิดเหตุแล้ว บนถนนพระราม 2 ตลอดเส้นทาง ยังมีสะพานลักษณะนี้รวมแล้ว 16 จุด ซึ่งปกติแล้วสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ จะมีการบำรุงรักษาอยู่เสมออยู่แล้ว แต่หลังจากนี้ กรมทางหลวงและวิศวกรรมสถาน จะเข้าไปตรวจสอบสะพานเหล่านี้เพิ่มเติมด้วย และต้องกำชับขั้นตอนการซ่อมแซมให้เป็นไปอย่างถูกต้อง ทั้งนี้ หากประชาชนพบว่าสิ่งก่อสร้างใดมีรอยร้าวลึกเป็นแนวตรงยาว ไม่ว่าจะที่พื้นหรือผนัง สามารถแจ้งเจ้าหน้าที่เพื่อเร่งแก้ไขได้ทันที


นายณรงค์ รักน้อย ผู้ว่าฯ สมุทรสาคร เดินทางมาพูดคุยกับนายกวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยที่จุดเกิดเหตุด้วย โดยนายณรงค์ กล่าวว่า จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น สิ่งที่ต้องเร่งแก้ไขเป็นอย่างแรกคือปัญหาการจราจร เพราะอุบัติเหตุทำให้ต้องปิดถนน ความปลอดภัยของประชาชนเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ซึ่งได้มีทางวิศวกรรมสถาน และสภาวิศวกร เข้ามาช่วยเป็นตัวกลาง ให้คำแนะนำเรื่องทางเทคนิค เพื่อหาทางแก้ปัญหาให้ได้เร็วที่สุด โดยวันนี้ทางแขวงทางหลวง ยืนยันแล้วว่าจะเร่งดำเนินการถอดโครงสร้างคานที่เหลืออยู่ออกให้เร็วที่สุด และคาดว่าจะเปิดการจราจรได้ในเช้าวันพรุ่งนี้ (3 ส.ค. 65)


ทั้งนี้ ตนยอมรับว่ามีความกังวลเรื่องความมั่นใจในการใช้ถนนของประชาชนหลังจากนี้ เพราะหากประชาชนไม่มั่นใจ เวลาขับรถก็จะคอยมองด้านบน มองจุดต่าง ๆ ไม่มองทางข้างหน้า ซึ่งอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้อีก ดังนั้น สิ่งสำคัญคือต้องทำให้ประชาชนมั่นใจในการใช้ถนนของกรมทางหลวง ซึ่งอยู่ระหว่างการหารือแนวทาง พูดคุยข้อมูลกับกรมทางหลวงถึงการตรวจสอบจุดเสี่ยงต่าง ๆ โดยรวมระยะทางบนถนนพระราม 2 ช่วงจ.สมุทรสาคร มีระยะทางประมาณ 26 กิโลเมตร มีสะพานกลับรถ 8 สะพาน เป็นสะพานเก่า ประมาณ 3-4 สะพาน


อย่างไรก็ตาม หากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มีสาเหตุมาจากความประมาท ทางจังหวัดถือว่าต้องทำงานร่วมกัน และร่วมรับผิดชอบกับกรมทางหลวงด้วย ไม่ได้มองว่าทางจังหวัดเป็นผู้เสียหาย เพราะคนที่เสียหายจริง ๆ คือประชาชน ซึ่งเบื้องต้นทางจังหวัดได้ติดต่อครอบครัวของผู้เสียหายไปแล้ว รวมถึงภาคเอกชนในพื้นที่ด้วย

คุณอาจสนใจ

Related News