สังคม

‘ทนายแอมไซยาไนด์’ จ่อเอาผิด ‘บิ๊กโจ๊ก-ทีมสืบสวน’ ย่ำยีศักดิ์ศรี ทำร้ายจิตใจจนแท้งบุตร

โดย JitrarutP

26 เม.ย. 2567

91 views

“ทนายพัช” เตรียมร้องเอาผิด “บิ๊กโจ๊ก” พร้อมพวก ขอความเป็นธรรมให้ผู้ต้องหา เผย “แอม” ยืนยันถูกกระทำย่ำยีศักดิ์ศรี ถูกทำร้ายจิตใจจนแท้งบุตร

นางสาวธันย์นิชา เอกสุวรรณวัฒน์ ทนายพัช ทนายของแอม สรารัตน์ “คดีแอมไซยาไนด์” เตรียมยื่นหนังสือร้องทุกข์ต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย เพื่อให้ทางคณะกรรมการฯ ได้ดำเนินการตรวจสอบและดำเนินคดีต่อไป

โดย ทนายพัช บอกว่า การร้องเรียนครั้งนี้เพื่อขอความเป็นธรรมให้กับผู้ต้องหา และเป็นการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมเนื่องจากมีการใช้บังคับกฎหมายมาสักระยะแต่การทำหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ยังไม่ถูกต้อง เหตุที่เพิ่งมาร้องเรียนเนื่องจากอยู่ระหว่างเตรียมคดีของแอมซึ่งปัจจุบันเตรียมคดีสมบูรณ์แล้วพร้อมที่จะพิสูจน์ต่อศาล

ซึ่งข้อเท็จจริงสำคัญที่เป็นการกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.ทรมานอุ้มหาย กล่าวคือ ประการแรก ในช่วงเวลาที่เกิดเหตุกับแอมนั้นกฎหมายมีผลใช้บังคับแล้ว ประการที่สอง การกระทำขณะจับกุม ตามพ.ร.บ.ดังกล่าวเจตนารมณ์ของกฎหมายก็เพื่อมุ่งเน้นให้เจ้าหน้าที่นำตัวผู้ถูกจับกุมไปส่งพนักงานสอบสวนให้เร็วที่สุด แต่การที่ชุดจับกุมดังกล่าว พาผู้ถูกจับกุมไปยังสโมสรตำรวจ และสนามฟุตบอลเป็นเวลาหลายชั่วโมง เป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้องและเกิดความอับอาย

ประการที่สาม การควบคุมตัวผู้ต้องหาทั้งในชั้นจับกุมและชั้นพนักงานสอบสวนจะต้องมีการบันทึกวีดีโอไว้ ทั้งหมดแต่ชุดจับกุมและพนักงานส่วนชุดดังกล่าวไม่ได้ดำเนินการตามกฎหมาย

ประการที่สี่ การพูดจาข่มขู่ผู้ต้องหา ในขณะที่ตั้งครรภ์และข่มขู่ไปถึงบุตรของแอมไซยาไนด์ บุคคลอันเป็นที่รัก ซึ่งในขณะนั้นแอมยังมีการตั้งครรภ์บุตรคนที่สามอยู่ด้วย ยังไม่แท้งอันเป็นการกระทำที่ผิดตามกฎหมายดังกล่าว ถือว่าเป็นการกระทำทางจิตใจ และการกล่อมให้รับสารภาพ ยังถือเป็นจุดประสงค์หลัก เพื่อให้ได้มาซึ่งคำรับสารภาพ โดยไม่คำนึงว่า ต้องรับสารภาพเท่านั้น

ประการที่ห้า การปฏิบัติหน้าที่ขณะที่ผู้ต้องหาอยู่ในเรือนจำจะต้องได้รับการตีความตามกฎหมายเช่นกันว่าหากมีลักษณะข่มขู่ทั้งตนเองหรือบุคคลอื่น จนทำให้เกิด ความกลัวหรือกังวลควรจะต้อง ตีความว่าเป็นการกระทำความผิดตามกฎหมายนี้เช่นเดียวกัน

ประการที่หก ดังที่ทนายพัชเคยกล่าวเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2566 ว่า จะเป็นการบูรณาการกฎหมายของสำนักงานตำรวจแห่งชาติด้วยเพื่อให้เป็นรูปธรรม โดย ผู้ที่ลงชื่อปฏิบัติงานในบันทึกจับกุม จะต้องถูกดำเนินคดีทั้งหมดซึ่งจะเป็นการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมโดยเฉพาะการทำงานของตำรวจซึ่งในหลายคดีจะเห็นว่าจะมีลงชื่อปฏิบัติงานจำนวนมากแต่ตัวไม่อยู่

ซึ่งในกรณีดังกล่าวหากมีการกระทำผิดตาม พ.ร.บ. ทรมานอุ้มหายผู้ที่มีรายชื่อจะต้อง ร่วมรับผิดทั้งหมด ซึ่งจะส่งผลให้การปฏิบัติงาน ของตำรวจนั้นตรงไปตรงมาไม่ใช่ลงชื่อเอาหน้า

ประการที่เจ็ด ผู้บังคับบัญชาที่รู้เรื่องดังกล่าวจะต้องรับผิดตามมาตรา 42 ต้องได้รับโทษด้วยกึ่งหนึ่ง

โดยการร้องทุกข์บุคคลครั้งนี้ มีชื่อหลายรายและรวมถึงผู้บังคับบัญชา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พลตํารวจเอก สุรเชษฐ์ หักพาล ต้องรับผิดตามมาตรา 42 ในฐานะที่เป็นผู้บังคับบัญชา

ท้ายนี้ แอม สรารัตน์ แสดงเจตจำนงสุจริตที่จะใช้สิทธิตามที่กฎหมายรับรองและคุ้มครอง และยืนยันว่าได้ถูกกระทำย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อย่างแท้จริงและทำร้ายจิตใจและเกิดการแท้งบุตรจริง


รับชมทางยูทูบที่ : https://youtu.be/G6ZOpim8Pe8

คุณอาจสนใจ

Related News