สังคม
ผลออกแล้ว ‘เสี่ยเบนท์ลีย์’ รอดเมาแล้วขับ หมอนิติเวชชี้ต้องเจาะเลือด 1-2 ชม. หลังเกิดเหตุ
โดย paweena_c
11 ม.ค. 2566
189 views
ผลตรวจเลือด ‘เสี่ยเบนท์ลีย์’ เพื่อวัดปริมาณแอลกอฮอล์ออกแล้ว เจอแค่ 10 กว่า mg% เมื่อคำนวณย้อนหลังก็ไม่ถึง 50 mg% รอดเมาแล้วขับ ‘นพ.ธนะพงศ์’ หมอนิติเวช ชี้ต้องเป่าและเจาะเลือด 1-2 ชม. หลังเกิดอุบัติเหตุ
กล้องวงจรปิดบนทางด่วนอีกมุมหนึ่งจะเห็นว่า ขับรถเบนท์ลีย์ด้วยความเร็วสูงบนทางด่วน แล้วขับปาดไปมา จนไปชนท้ายกับรถปาเจโร่ ทำให้รถปาเจโร่พลิกคว่ำแล้วมาชนกับรถดับเพลิงของอาสาสมัครดับเพลิงฐานฮารูน บางรัก จนมีผู้บาดเจ็บ
คนขับรถเบนท์ลีย์ คือ นายสุทัศน์ สิวาภิรมย์รัตน์ นักธุรกิจ ในวันเกิดเหตุ คือ 8 มกราคม เขาปฏิเสธที่จะเป่าด้วยเครื่องตรวจวัดปริมาณแอลกออล์ แต่เลือกที่จะไปตรวจเลือดที่โรงพยาบาลตำรวจแทน แต่กว่าจะได้ตรวจเลือดผ่านไปกว่า 4 ชั่วโมงแล้ว
ล่าสุดผลการตรวจเลือดออกมาแล้ว พบว่า ผู้ขับขี่รถยนต์ยี่ห้อเบนท์ลีย์ มีผลแอลกอฮอล์ในเลือดแค่กว่า 10 มิลลิกรัมเปอร์เซนต์ ไม่เกิน 20 มิลลิกรัมเปอร์เซนต์ ซึ่งผลอย่างเป็นทางการทางโรงพยาบาลตำรวจ ส่งให้พนักงานสอบสวน สน.ทางด่วน 1 แล้วตั้งแต่เมื่อวานนี้ (10 ม.ค. 66)
ทีมข่าวช่อง 3 ติดต่อสอบถามไปที่ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายแพทย์วีระศักดิ์ จรัสชัยศรี ผู้เชี่ยวชาญนิติเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ สอบถามถึงกระบวนการและหลักการตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือด ชี้แจงว่า จากประสบการณ์การทำงานที่เคยตรวจเคสแบบนี้มามากกว่า 20 ปี ยืนยันว่าการตรวจวัดพิสูจน์ปริมาณแอลกอฮอล์ในเส้นเลือดต้องทำการตรวจหลังจากเกิดเหตุไม่นาน เพราะโดยเฉลี่ยปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดของมนุษย์จะลดลง 15-20 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ในทุกๆ 1 ชั่วโมง ซึ่งหากมีการตรวจล่าช้าก็จะยิ่งทำให้คนที่ได้คลาดเคลื่อน แม้ว่าจะมีสูตรคำนวนในการคิดหาค่าปริมาณแอลกอฮอล์ย้อนหลังไปถึงช่วงจุดเกิดเหตุก็ตาม แต่ในทางกฎหมายจากประสบการณ์ส่วนตัว ไม่พบว่าจะสามารถนำผลลัพธ์ที่ได้จากการคำนวณย้อนหลังไปใช้ในสำนวนคดีได้ เพราะตำรวจต้องใช้ผลที่ได้เป็นเอกสาร ซึ่งคือผลที่ตรวจ ณ เวลานั้น
สอดคล้องกับข้อมูลของนายแพทยธนะพงศ์ จินวงษ์ ผู้จัดการศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน หรือ ศวปถ. กล่าวว่า ตามหลักสากลทางการแพทย์ ที่ตำรวจใช้ปฏิบัติในทุกกรณี ต้องเป่าและเจาะเลือด เพื่อดูปริมาณแอลกอฮอล์เร็วที่สุด หรือภายใน 1-2 ชั่วโมง หลังเกิดอุบัติเหตุ เพื่อจะได้ข้อมูลตรงตามจริงของบุคคลนั้น ซึ่งการเป่าปัจจุบันมีมาตรฐาน จึงไม่ควรเปิดช่องให้ผู้กระทำความผิดถ่วงเวลา หรือขอไปตรวจเลือดที่โรงพยาบาล ซึ่งพนักงานสอบสวนและอัยการ ควรเดินหน้าฟ้องข้อหาเมาขับต่อ โดยเชิญผู้เชี่ยวชาญมาให้ข้อมูลประกอบ เช่น ผู้เชี่ยวชาญด้านพิษวิทยา หรือแพทย์นิติเวช
ขณะที่พนักงานสอบสวน สน.ทางด่วน 1 ยืนยันว่าส่งตัวนายสุทัศน์ ไปตรวจเลือดตอนประมาณ 03.30 น. หรือหลังเกิดเหตุราว 3 ชั่วโมง แต่หลักฐานจากพยานที่อยู่ในเหตุการณ์ตั้งแต่หลังเกิดเหตุ จนถึงนำตัวส่งโรงพยาบาลกลับไม่ตรงกัน
หลักฐานตามกล้องหน้ารถที่เกิดอุบัติเหตุ บันทึกว่า เกิดอุบัติเหตุตอน 00.35 น. จากนั้นพยานคนนี้มาถึงที่เกิดเหตุ พบว่าคนขับรถเบนท์ลีย์ขึ้นรถแท็กซี่ไปกับผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งขณะนั้นเป็นเวลา 01.44 น. ซึ่งบรรดาอาสาสมัครเป็นคนบอกให้แท็กซี่ขับไปส่งที่ สน.ทางด่วน 1 พร้อมขับรถประกบไปด้วย ก่อนที่จะไปถึง สน. ตอน 01.51 น. ซึ่งมีหลักฐานบันทึกการใช้โทรศัพท์ที่โทรหาทนายตอน 01.58 น. เพื่อให้มาพบที่ สน.
จากนั้นมีการเจรจากันใน สน. อยู่นาน เรื่องที่นายสุทัศน์ไม่เป่าแอลกอฮอล์ ซึ่งตอนที่ถ่ายคลิปนายสุทัศน์นั่งเคี้ยวหมากฝรั่งและพยายามโทรศัพท์ติดต่อใครบางคน เป็นเวลา 02.52 น.
ก่อนที่ในเวลาต่อมา จะมีชายคนหนึ่งเดินทางมาพร้อมกับลูกน้องและภรรยา โดยอ้างว่าเป็นอดีตตำรวจยศสูง และเป็นข้าราชการระดับอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ จะขอมาดำเนินการเรื่องนี้ โดยการรับตัวนาย สุทัศน์ ขึ้นรถเบนซ์ไปส่งที่โรงพยาบาลตำรวจ แต่พนักงานสอบสวนได้ให้นายดาบคนหนึ่งขี่รถจักรยานยนต์ตามไปด้วย ก่อนจะไปถึงที่ โรงพยาบาลตำรวจตอน 04.35 น. ก่อนจะออกมาจากโรงพยาบาลตำรวจตอน 05.30 น.
ล่าสุด กองบัญชาการตำรวจนครบาล สั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนพนักงานสอบสวนคดีนี้ ซึ่งพันตำรวจเอก ณัฐพัฒนส์ ธรรมชุตินันท์ ผู้กำกับการกองกำกับการ 2 ศูนย์ควบคุมจราจรทางด่วน/ทางพิเศษ กองบังคับการตำรวจจราจร กล่าวว่า มีคำสั่งจริง แต่เป็นการให้ตรวจสอบขั้นตอนการดำเนินคดีของเหตุการณ์ดังกล่าวตามขั้นตอนปกติ และตั้งคณะตรวจสอบขึ้นมาพิจารณาแล้วว่ามีขั้นตอนไหนที่ผิดไปจากมาตรฐานหรือไม่ หากพบว่าบกพร่องก็ต้องพิจารณาลงโทษพนักงานสอบสวนเจ้าของคดีอีกครั้ง
ส่วนเรื่องผลการตรวจเลือดและการแจ้งข้อหาหรือแนวทางการดำเนินคดี ทีมข่าวพยายามติดต่อไปที่โฆษกกองบัญชาการตำรวจนครบาล เพื่อขอความชัดเจน แต่ยังไม่มีการตอบรับหรือชี้แจงในประเด็นนี้ออกมา
แท็กที่เกี่ยวข้อง เสี่ยเบนท์ลีย์ ,หมอนิติเวช ,ผลตรวจแอลกอฮอล์ ,รอดเมาแล้วขับ