สังคม

'ทนายพัช' เปิดใจหลังได้ประกันตัว เตรียมสู้ต่อชั้นอุทธรณ์ เผย 'แอม ไซยาไนด์' เครียด เป็นห่วงอดีตสามี

โดย panisa_p

20 พ.ย. 2567

56 views

ภายหลังจากเมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมา ศาลอาญาอนุญาตให้ประกันตัว พ.ต.ท.วิฑูรย์ รังสิวุฒาภรณ์ หรืออดีตสามีแอม ไซยาไนด์ และ น.ส.ธันย์นิชา เอกสุวัณวัฒน์ หรือทนายพัช ด้วยหลักทรัพย์คนละ 100,000 บาท


เวลา 17.38 น. พ.ต.ท.วิฑูรย์ ได้รับการปล่อยตัวตามคำสั่งของศาลและเดินทางออกมาจากอาคารศาลอาญา ผู้สื่อข่าวได้พยายามที่จะเข้าไปสอบถามและพูดคุย ปรากฎว่า พ.ต.ท.วิฑูรย์ ได้แต่มองหน้าผู้สื่อข่าวและเดินปรี่ไปขึ้นรถออกไปจากศาลทันที โดยไม่ตอบคำถามใดๆ ของผู้สื่อข่าว


ต่อมาเวลา 17.55 น. น.ส.ธันย์นิชา หรือทนายพัช ลงมาจากอาคารศาลอาญาหลังจากได้รับการประกันตัว พร้อมด้วยนายไชยา คุ้มอ่ำ ทนายความของจำเลยทั้งสามคน โดยทางทนายไชยาได้กล่าวกับสื่อมวลชนว่า ในส่วนคำพิพากษาในวันนี้นั้น ถือเป็นดุลยพินิจของศาล เราต้องเคารพและไม่ก้าวล่วงต่อศาล เมื่อศาลใช้ดุลยพินิจแบบไหน เราต้องมีหน้าที่ในการต่อสู้ในชั้นอุทธรณ์ต่อไป แต่อย่างไรก็ตามด้วยความเคารพต่อศาล ตนไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษาดังกล่าว เนื่องจากยังไม่ปรากฏประจักษ์พยานที่เห็นชัดและเป็นสาระสำคัญจากฝั่งโจทก์ในคำพิพากษา รวมทั้งพยานหลักฐานมีแต่เพียงแค่ฝั่งโจทก์กล่าวอ้างนำสืบ แต่ไม่มีพยานหลักฐานและคำให้การของฝั่งจำเลยปรากฏในคำพิพากษาเลย


ขณะที่ทนายพัชกล่าวว่า ในพยานของฝั่งจำเลยที่นำสืบในชั้นศาล มีทั้งพยานบุคคลที่เป็นคนติดตั้งกล้องวงจรปิดและความเห็นของแพทย์หญิง คุณหญิง พรทิพย์ โรจนสุนันท์ ก็ไม่ปรากฏ ทำให้ตนรู้สึกติดใจเป็นอย่างมากว่าไม่มีอยู่ในคำพิพากษาได้อย่างไร


ทนายไชยากล่าวต่อว่า ทั้งพยานและคำให้การของฝั่งจำเลยนั้น ได้นำสืบแก่ศาลในชั้นพิจารณาเรียบร้อยแล้ว แต่ตนมีความเห็นว่า ศาลไม่ยกประเด็นฝั่งจำเลยมาพิจารณาเลย ศาลมองแค่จำเลยได้กระทำความผิดตามที่โจทก์กล่าวอ้างเท่านั้น โดยศาลรับฟังแต่ในส่วนที่โจทก์นำสืบพยาน แต่ยังมีในส่วนที่โจทก์ไม่ได้ยกมานำสืบพยาน ทว่าศาลกลับใช้ดุลยพินิจ เชื่อว่าจำเลยน่าจะได้กระทำความผิดหรือมีพยานหลักฐาน ซึ่งในชั้นอุทธรณ์นั้น จะมีหลายประเด็นที่ต้องต่อสู้ในส่วนที่ไม่เห็นด้วยกับการวินิจฉัยของศาลชั้นต้น โดยจะเน้นต่อสู้ในเรื่องข้อกฎหมาย ด้วยการนำพยานหลักฐานฝั่งตนเองที่เคยนำสืบไปแล้วกับหลักฐานนิติวิทยาศาสตร์มาต่อสู้ในชั้นอุทธรณ์ แต่ฝั่งตนคงไม่นำเสนอพยานหลักฐานใหม่มาต่อสู้


โดยทนายไชยาได้ยกตัวอย่างกรณีที่กล่าวหาว่า มีสารไซยาไนด์ปลอมปนในรถ ซึ่งฝั่งของตนมีการนำสืบว่า พบภาพวงจรปิดอย่างน้อย 3 ตัวที่หันมาทางรถที่จอดริมเขื่อนและขยายเห็นภาพภายในรถได้สูงถึง 2 ล้านพิกเซล ซึ่งฝั่งตนนั้นมีพยานหลักฐานเป็นภาพถ่ายและผู้ติดตั้งกล้องวงจรปิดที่มายืนยันเห็นได้ชัดว่า ไม่ปรากฏพฤติการณ์วางยาพิษภายในรถ แต่ในประเด็นดังกล่าวฝั่งโจทก์ไม่ได้นำสืบในชั้นศาล ทั้งที่ทางตำรวจได้เก็บกล่องกล้องวงจรปิดชุดนี้ไปแล้ว ทำให้ศาลเชื่อว่ามีการกระทำความผิดดังกล่าวตามที่โจทก์ชี้นำ แม้จะไม่มีภาพยืนยัน โดยตนเชื่อว่า เป็นเพราะโจทก์เกรงว่าจะทำให้ศาลเห็นว่าฝั่งจำเลยไม่มีพฤติการณ์วางยาพิษ


ตนยังได้โต้แย้งอีกว่า ภายในรถดังกล่าวมีลูกของผู้ต้องหาอยู่ด้วย แต่ไม่มีใครได้รับอันตราย เพราะถ้าหากเปิดขวดไซยาไนด์ขึ้นมา สารพิษจะต้องฟุ้งกระจายในรถแล้ว ทั้งแอมและลูกก็ต้องได้รับอันตราย รวมทั้งผู้ที่มาตรวจรถต้องได้รับอันตรายจากสารไซยาไนด์ที่ตกค้างแล้วเช่นเดียวกัน


นอกจากนี้ทนายพัชเผยอีกว่า ยังตรวจไม่พบสารไซยาไนด์ในตัวของแอม รวมทั้งเสื้อผ้าหรือที่เล็บของผู้ตายก็ไม่พบ DNA ของบุคคลอื่น ส่วนประเด็นที่พบว่า มีถุงดำปรากฏในข่าวนั้น ก็ไม่พบ DNA ของแอมเช่นเดียวกัน


เมื่อถามประเด็นที่มีการพบขวดไซยาไนด์อยู่ภายในรถได้อย่างไร ทนายพัชกล่าวว่า ทางตำรวจมีการสั่งซื้อไซยาไนด์เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2566 แล้วนำมาทดสอบในรถเพื่อประกอบในสำนวนคดี


ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า ภายหลังศาลมีคำพิพากษาประหารชีวิตแล้ว แอมมีความรู้สึกอย่างไร ทนายไชยากล่าวว่า แอมบอกเพียงว่า "ไม่เห็นความยุติธรรม" และแอมได้ทำใจไว้แล้วว่าผลพิพากษาจะต้องออกมาเป็นแบบนี้ ด้วยความเป็นผู้หญิง ไม่มีทางที่จะไม่มีความเครียด รวมทั้งแอมมีความเป็นห่วงและคิดถึง พ.ต.ท.วิฑูรย์ กับทนายพัชมากกว่าตัวเอง โดยระหว่างพูดคุยหลังคำพิพากษา แอมตาแดงก่ำอย่างเห็นได้ชัด ด้านทนายพัชกล่าวเสริมว่า มีคำพูดที่แอมพูดไว้ด้วย แต่ไม่สามารถเปิดเผยได้ เพราะเกรงว่าจะละเมิดอำนาจของศาล


ส่วนการต่อสู้ของตนและ พ.ต.ท.วิฑูรย์ ในชั้นอุทธรณ์ ทนายไชยากล่าวว่า คดีในส่วนนี้มีข้อโต้แย้งทางกฎหมายและข้อเท็จจริงที่ต่อสู้ในชั้นอุทธรณ์ได้ แต่ไม่ขอเปิดเผยข้อต่อสู้ เพราะจะมีผลต่อการต่อสู้ของรูปคดี ซึ่งส่วนตรงนี้ไม่มีข้อกังวล ทั้งนี้ทนายไชยาเปิดเผยคร่าวๆ ว่า คำซัดทอดของ พ.ต.ท.วิฑูรย์ ศาลมองว่าไม่ได้ทำให้ตนเองพ้นผิด เพราะเชื่อว่ามีอยู่จริงในไลน์และน่าจะพูดคุยกันจริง เพียงแต่โจทก์ไม่ได้นำสืบประเด็นดังกล่าว ขณะที่ทนายพัชกล่าวต่อมาว่า เนื่องจากตนเองเป็นคนเรื่องมาก จึงได้สำรองข้อมูลไฟล์แชตเอาไว้ เมื่อโจทก์ไม่นำเสนอส่วนนี้ ตนก็นำเสนอต่อศาลเอง


นอกจากนี้ ทนายไชยายังระบุเพิ่มเติมว่า การที่ลูกความเชื่อมั่นและไว้ใจทนายความ เป็นเรื่องที่ดี ซึ่งขึ้นกับตัวลูกความว่าจะเชื่อมั่นอย่างไร ทนายความทำหน้าที่แค่บอกข้อดีข้อเสียแก่ลูกความ คนตัดสินใจคือลูกความ จะไปบังคับไม่ได้ ซึ่งตรงนี้ทนายพัชกล่าวเสริมว่า มีบ่อยครั้งที่ตนกล่าวอะไร แล้วลูกความไม่เชื่อฟัง


ดังนั้น ประเด็นที่มองว่า ก่อนหน้านี้ทำไมแอมไม่เบิกความในชั้นศาล ทนายไชยาจึงชี้แจงว่า เป็นเพราะหลักฐานทางตำรวจเพิ่งส่งมาในวันสืบพยานส่วนของแอม ซึ่งหลักฐานดังกล่าวนั้น ไม่ได้ปรากฏในวันชี้สองสถาน จึงทำให้ต้องเสียเวลาไปคัดถ่ายและเป็นเอกสารมีจำนวนหลายหน้า ทำให้แอมเตรียมตัวอ่านเอกสารหลักฐานดังกล่าวไม่ทัน เลยประสงค์ที่จะขอเลื่อนสืบพยานจำเลยที่หนึ่งก็คือแอม แต่ศาลไม่อนุญาตให้เลื่อน ภายหลังศาลได้อนุญาตให้จำเลยก็คือแอมได้อ่านเอกสารดังกล่าวก่อน และสอบถามว่าจะเบิกความหรือไม่ โดยในส่วนนี้ทนายพัชยืนยันว่า ตนไม่ทราบการตัดสินใจของแอมและไม่ได้ยุห้ามแอม เพราะตนเองก็อยู่ไกลจากแอม จะตะโกนได้อย่างไร และไม่รู้ว่าแอมทำไมถึงตัดสินใจที่จะไม่เบิกความ


ทั้งนี้จากการสังเกตจากสีหน้าของทนายพัช พบว่าทนายพัชมีสีหน้าที่ดูไม่มีท่าทีกังวล หลังศาลอ่านคำพิพากษาในวันนี้แต่อย่างใด

คุณอาจสนใจ