สังคม
เตรียมปลดล็อก 'เหี้ย-นกแอ่นกินรัง' เลี้ยงเพื่อประโยชน์ทางเศรษฐกิจ
โดย thichaphat_d
5 พ.ย. 2567
173 views
‘เฉลิมชัย’ เตรียมปลดล็อก ออกประกาศให้เหี้ยและนกแอ่นกินรัง สามารถเลี้ยงเพื่อประโยชน์ทางเศรษฐกิจหลัง คกก.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่าเห็นชอบ
เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2567 เวลา 13.30 น. - ณ ห้องประชุมชั้น 20 กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมประชุมคณะกรรมการสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า ครั้งที่ 2/2567
การประชุมครั้งมีประเด็นสำคัญที่เกี่ยวข้องกับกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช คือ การพิจารณาร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 2 ฉบับสำคัญ ได้แก่ การกำหนดให้ตัวเงินตัวทอง เป็นสัตว์ป่าชนิดที่เพาะพันธุ์ได้ และการกำหนดชนิดสัตว์ป่าคุ้มครองที่อนุญาตให้เก็บ ทำอันตราย หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งรังนกแอ่นได้
สำหรับตัวเงินตัวทอง หรือ เหี้ย จากเดิมที่มีสัตว์ป่าคุ้มครองที่เพาะพันธุ์ได้ 62 ชนิด จะเพิ่มเป็น 63 ชนิด โดยการเพิ่มตัวเงินตัวทอง (Varanus salvator) เข้าไปในรายการ เนื่องจากพบว่าในปัจจุบันมีการเลี้ยงเพื่อเป็นสัตว์สวยงาม ถือเป็นสัตว์ที่มีศักยภาพในการใช้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจ หนังของเหี้ยมีลายละเอียด นุ่ม เหนียว ทนทาน มีการใช้ประโยชน์ในผลิตภัณฑ์เครื่องหนังอย่างกว้างขวาง ซึ่งเมื่อประกาศแล้วผู้ที่มีความสนใจในการประกอบกิจการเพาะพันธุ์สามารถขออนุญาตในการเพาะพันธุ์เหี้ย ทำผลิตภัณฑ์จากหนังเหี้ย และสามารถนำมาทำเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่า สามารถผลักดันให้เป็นสัตว์เศรษฐกิจได้ในอนาคต
นอกจากนี้ทางมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ได้มีโครงการศึกษาวิจัยการเลี้ยงและใช้ประโยชน์จากตัวเงินตัวทองเตรียมพร้อมไว้ระดับหนึ่งแล้ว
ในส่วนของนกแอ่น ร่างประกาศฯ มีการกำหนดชนิดสัตว์ป่าคุ้มครอง 2 ชนิด ได้แก่ นกแอ่นกินรัง (Aerodramus fuciphagus หรือ Aerodramus germani) และนกแอ่นหางสี่เหลียม หรือ นกแอ่นรังดำ (Aerodramus maximus) ที่อนุญาตให้เก็บ ทำอันตราย หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งรังได้ เพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชนในการใช้ประโยชน์จากรังนกแอ่นอย่างถูกต้องตามกฎหมาย และสามารถนำไปสู่การกำหนดหลักเกณฑ์ในกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น กฎหมายด้านอาคาร กฎหมายด้านสาธารณสุข เป็นต้น
ทั้งนี้ ร่างประกาศทั้งสองฉบับได้ผ่านขั้นตอนการพิจารณาตามกฎหมายของกรมอุทยานฯ และคณะอนุกรรมการสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่าเรียบร้อยแล้ว โดยคณะกรรมาธิการวิสามัญได้เห็นชอบทั้งสองส่วนของร่างประกาศฯ เนื่องจากเห็นว่าการใช้หลักฐานและใบอนุญาตจะช่วยให้ผู้ประกอบการยื่นขออนุญาตง่ายขึ้น และฝ่ายกฎหมายได้คลายข้อกังวลในเรื่องที่อาจจะมีผลกระทบต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม
การออกประกาศทั้งสองฉบับนี้จะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ขณะเดียวกันก็ยังคงรักษาสมดุลของการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ โดยกรมอุทยานฯ จะดำเนินการศึกษาติดตามผลอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน