สุดทน ‘เพื่อนบ้าน’ ทั้งซ้ายทั้งขวา ปล่อยหมาผลัดกันเห่า นาน 10 ปี จนป่วย ลูก-ผัว ต้องย้ายหนี

ทนมานาน 10 ปี “เพื่อนบ้าน” ทั้งซ้าย ทั้งขวา ปล่อยหมาผลัดกันเห่า จนป่วยกินไม่ได้นอนไม่หลับ ต้องใช้ยานอนหลับช่วย ลูก - ผัว ต้องย้ายหนี

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เพจกล้าที่จะก้าว ได้รับการประสานจาก เพจสายไหมต้องรอด กรณีที่ชาวบ้านร้องเรียนเรื่องได้รับความเดือนร้อนจากเพื่อนบ้านที่อยู่ติดกันด้านซ้าย และด้านขวา ส่วนผู้ร้องเป็นบ้านอาศัยที่อยู่ตรงกลาง บ้านหลังซ้ายเลี้ยงสุนัข 4 ตัว และ บ้านหลังขวาเลี้ยงสุนัข 3 ตัว ช่วงกลางวันจะเห่ารับกันตลอด ส่วนกลางคืนมีตัวใดเห่าก็ไม่ต้องนอน ซึ่งมีความเดือดร้อนอย่างมากในช่วงเวลาพักผ่อน ทางผู้ร้องได้ไปแจ้งความที่ สภ.บางศรีเมือง และ เทศบาลเมืองไทรม้า จ.นนทบุรี แต่ยังไม่ได้รับการแก้ไขแต่อย่างใด จนต้องเป็นคนติดยานอนหลับ ถ้าไม่กินก็จะนอนไม่ได้เลย

วันที่ 10 พ.ค.67 ผู้สื่อข่าว และนายอธิวัฒน์ สิริกังวาลวงศ์ ผู้ก่อตั้งเพจกล้าที่จะด้าว เดินทางเข้าพบ นางสุภาศรี เศวตกิติธรรม อายุ 58 ปี รับทำบัญชีที่บ้าน และนายไพรัช เศวตกิติธรรม อายุ 63 ปี ทำธุรกิจส่วนตัว สองสามีภรรยา เจ้าของบ้านในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ถ.รัตนาธิเบศร์ ต.ไทรม้า อ.เมืองนนทบุรี พบว่าบ้านของสองสามีภรรยาเป็นบ้านเดี่ยว 2 ชั้น ตั้งอยู่ตรงกลาง โดยขนาบข้างด้วยเพื่อนบ้านทั้งด้านซ้ายและขวา สังเกตโดยรอบบ้านมีการติดตั้งแนวกำแพงด้านข้างทั้งสองฝั่ง นอกจากนี้ประตูรั้วทำเป็นแบบทึบไม่สามารถมองเข้าไปด้านในบ้านได้ ส่วนในตัวบ้านหน้าต่างทุกบ้านถูกปิด พื้นบ้านปูทับด้วยกระเบื้องยาง โต๊ะเก้าอี้ติดพรมที่ขาทุกตัว โดยสองสามีภรรยาให้เหตุผลว่าเพื่อป้องกันเสียงดัง เพราะจะทำให้สุนัขของบ้านทั้ง 2 หลังเห่า


นอกจากนั้นนางสุภาศรี ได้นำหลักฐานเป็นคลิปเสียงและภาพสุนัขเห่าในแต่ละครั้ง หลักฐานการร้องเรียนไปที่เทศบาลเมืองไทรม้า หลักฐานการแจ้งนิติบุคคล และยารักษาโรคที่ต้องรับประทานประมาณ 5 ชนิด รับประทานวันละ 11 เม็ด เพราะมีอาการนอนไม่หลับ ปวดหัว มึนหัวตลอด ตาพร่า หมอให้กินก่อนนอนเพื่อให้หลับ แต่พอหมาเห่าก็สะดุ้งตื่น ยิ่งปวดหัวหนักกว่าเดิม ทำให้ความดันสูงถึง 200 เป็นแบบนี้มา 2 ปีกว่า ส่วนลูกชายคนเล็กนอนไม่ได้ จนทำให้เลือดกำเดาทะลักเต็มแก้ม ต้องย้ายไปอยู่คอนโดใกล้โรงเรียน ทำให้พ่อต้องย้ายไปอยู่เป็นเพื่อนด้วย ครอบครัวต้องแยกกันอยู่ ลูกชายคนโตนอนต้องครอบหูฟัง เปิดเพลง ทุกคืน


นางสุภาศรี เปิดเผยว่า ตนอาศัยอยู่ที่นี่มานานกว่า 10 ปี ในซอยมีบ้านทั้งหมด 8 หลัง 1 หลังไม่มีคนอยู่ ที่เหลือท้ายซอย 4 หลังทุกวันต้องมีไรเดอร์มาส่งของ พอขับผ่านหน้าบ้านตนสุนัขของเพื่อนบ้านทั้ง 2 หลังก็เห่า โดยเห่ากันไปมารับกันตลอด ร้องเรียนไปที่เทศบาลก็ไม่เป็นผล บอกว่ากฎหมายใช้ไม่ได้ต้องเป็นเรื่องคนต่อคน ไม่ใช่คนกับหมา ตนต้องทนมาแบบนี้ 10 ปี เพื่อนบ้านไม่เคยห้ามให้สุนัขเห่า รปภ.ไม่กล้าเข้ามาเพราะสุนัขจะเห่า สุนัขที่เพื่อนบ้านเอามาเลี้ยงเป็นสุนัขจรจัดที่เก็บมาเลี้ยง โดยอ้างว่าจิตใจดี มันจะเห่าทุกครั่งที่มีสิ่งเล้า เช่นมีสัตว์อื่นผ่านมา หรือคนเข้ามาในซอย


นางสุภาศรี กล่าวต่อว่า ตอนนี้ตนป่วย แพทย์สั่งให้หลีกเลี่ยงสิ่งรบกวนเหล่านี้ เพราะเป็นสิ่งกระตุ้นนอนไม่พอ จิตวิตกจริตต้องตื่นกลางดึก ความดันสูงขึ้นถึง 200 จนตอนนี้กินยา 4 ตัว แต่ถ้าสุนัขเห่าจะคุมความดันไม่ได้ ตอนนี้เป็นความดัน เบาหวาน ไขมัน ไมเกรน นอกจากนี้ลูกชายนอนไม่ได้ต้องใส่หูฟังตลอดเวลานอน ลูกชายคนเล็กย้ายไปอยู่คอนโดกับพ่อเขา เพื่อนบ้านบอกว่าเห็นใจตนมาก จะเอาลูกชิ้นมาให้สุนัขกิน แต่ตนว่าสุนัขมันไม่ใช่ประเด็น มันอยู่ที่เจ้าของไม่ดูแลและควบคุม ไม่คิดถึงสิทธิ์ของคนอื่น ตนไม่ได้ทำอะไรผิดกฎหมาย ปิดบ้านมิดชิด ออกไปนอกบ้านไม่ได้ รีบแขกไม่ได้ ข้างบ้านต้องทำกำแพง ตนทนมา 10 ปีคิดว่าทนมามากพอแล้ว ตอนนี้อยากเรียกร้องสิทธิ์ของตัวเอง


นางสุภาศรี กล่าวทั้งน้ำตาว่า ตอนนี้ตนสงสารลูก และครอบครัวที่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน อยากปกป้องสิทธิ์ของครอบครัวตนเอง ตนทนจนคิดขายบ้าน ลงโพสต์ขายไปแล้ว แต่พอคนจะมาซื้อรู้ว่าข้างบ้านมีสุนัขก็ไม่มีใครซื้อ เพราะคุณภาพชีวิตไม่ดีขนาดลดราคาให้เป็นล้านก็ไม่มีใครซื้อ ไม่อยากทะเลาะกับเพื่อนบ้าน ถึงวันนี้ก็ขายไม่ได้ แต่ถ้าใครจะซื้อบ้านหลังนี้ตนยินดีลดราคาให้เป็นล้าน ขออย่างเดียวให้เลี้ยงสุนัข ตนเข้าใจเจ้าหน้าที่ว่าคนหัวหมอมีเยอะ แต่คนที่ร้องเรียนคือคนที่เดือดร้อนจริงๆ อยากถามว่าหน่วยงานปกป้องคนที่ไม่เคารพกฎหมายใช่ไหม

นายอธวัฒน์ สิริกังวาลวงศ์ ผู้ก่อตั้งเพจกล้าที่จะก้าว กล่าวว่า หลังจากลงพื้นที่พบว่าผู้ต้องได้รับความเดือนร้อนจากเพื่อนบ้านทั้งสองหลังจริง โดยวันจันทร์จะพาผู้ร้องไปศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดให้ตรวจสอบว่ามีข้อกฎหมายข้อไหนสามารถช่วยเหลือชาวบ้านได้บ้าน เนื่องจากส่งผลกระทบต่อสุขภาพและครอบครัวจริง เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อไป