สังคม
สุดเศร้า ผัวเมียคนไทยในอิสราเอล ถูกบังคับทำงานกลางจุดสู้รบ ผัวโดนระเบิดดับ นายจ้างไม่รับผิดชอบ
โดย nut_p
21 ต.ค. 2566
560 views
สุดเศร้า สามีภรรยาคนไทยในอิสราเอล ถูกบังคับทำงานกลางจุดสู้รบ สามีโดนระเบิดเสียชีวิต นายจ้างหนีหาย ไม่รับผิดชอบ วอนรัฐบาลช่วยหาศพสามี
วันที่ 20 ต.ค. 66 ผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยจากนายชัยมงคล กอรัตน์ ผู้ใหญ่บ้านดงสว่าง ม.6 ต.โพธิ์หมากแข้ง อ.บึงโขงหลง จ.บึงกาฬ ได้รับประสานจากนายฉลาด ฤทธิธรรม อายุ 62 ปี ว่าบุตรสาวของตนเอง ซึ่งไปทำงานอยู่ประเทศอิสราเอลได้เดินทางกลับมาบ้านที่บึงโขงหลงแล้ว ต่อมาผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปพบกับ นางพุทธรัตน์ (นุ้ย) ฤทธิธรรม อายุ 36 ปี อยู่บ้านเลขที่ 374 บ้านดงสว่าง ม.6 ต.โพธิ์หมากแห้ง อ.บึงโขงหลง เล่าให้ผู้สื่อข่าวฟังว่าตนเองได้ไปทำงานที่ประเทศอิสราเอล ได้ประมาณ 6 ปี ซึ่งก็ได้คบกับนายศักดิ์สิทธิ์ โคตมี อายุ 37 ปี อยู่บ้านเลขที่ 93 ม.3 ต.ดงเย็น อ.บ้านดุง จ.อุดรธานี ที่อิสราเอลอยู่ด้วยกันมาประมาณ 5 ปี โดยที่ไม่ได้จดทะเบียน แรกทำงานอยู่ในไซต์งานเกษตรปลูกผักผลไม้ อยู่เมืองเฮอร์เซอลียา ต่อมานายจ้างเจ๊งไปไม่รอด นายจ้างคนปัจจุบันก็ไปซื้อวีซ่า ขึ้นมาทำงานในเมืองเฌอมีเรียล ห่างจากฉนวนกาซาประมาณ 10 กม. มีรายได้ต่อเดือนประมาณ 50,000 บาท สามีทำงานเก็บเงินเพื่อจะมาสร้างบ้านในราคา 600,000 บาท ซึ่งใกล้จะเสร็จแล้ว และจะทำงานอีกสักปีเพื่อเก็บเงินก้อนแล้วกลับมาอยู่ที่บ้าน แต่ก็มีเหตุสงครามมาคร่าชีวิตของสามี หลังสู้รบกันก็ปรึกษากันอยู่ว่าจะกลับบ้าน เพราะรู้สึกไม่ปลอดภัยแล้ว
เหตุการณ์สู้รบเริ่มวันที่ 7 ต.ค. วันที่ 8-9 นายจ้างไม่ให้ทำงาน แต่วันที่ 10 ต.ค. นายจ้างบังคับเราไปทำงาน ทั้งที่มีการสู้รบกัน ประมาณ 10 โมงเช้า ก่อนเกิดเหตุในตอนเช้านายจ้างโทรมาบอกสามี ให้คนงานออกไปทำงาน เพราะว่าสามีเป็นหัวหน้า และบอกให้สามีออกไปฉีดยาไร่บวบซูกินีก่อน โดยนายจ้างออกไปเฝ้าด้วย ซึ่งก่อนไปก็ไปบอกคนงานว่าถ้าไม่ไปนายจ้างจะไล่ออกจากแคมป์ ไม่ให้อยู่ ก็จำเป็นต้องไป ซึ่งไร่ก็อยู่นอกแคมป์ ไม่มีโดมหรือที่หลบภัยให้อาศัย เป็นที่โล่งแจ้ง ตอนเกิดเหตุทำงานอยู่คนละฝั่งกับสามีห่างกันประมาณ 200-300 เมตร เวลาเกิดเหตุ 14.30 น. พอดี ได้ยินแต่เสียงเตือน ชะวะอะโดมๆ 2 ครั้ง อยู่ในบ้านพัก สักพักระเบิดลง ลูกชายนายจ้างก็ตะโกนเรียกให้เข้าไปหลบใต้ท้องรถฉีดยา กระวนกระวายรีบโทรหาสามี แต่ไม่ติด เห็นแต่เพื่อนที่ทำงานด้วยกันวิ่งกลับมาก็เลยถามว่าเห็นสามีหนูไหม เป็นยังไงบ้าง แต่ไม่มีคนตอบ ทั้งที่ทุกคนรู้แล้วแต่ไม่มีใครตอบ คงกลัวตนช็อค ตั้งแต่ระเบิดลงลูกแรกก็สติแตกเลย โทรหาสามีกี่ครั้งก็ไม่ติด เพื่อนที่ทำงานด้วยกันก็เลยดึงขึ้นรถกลับแคมป์ก่อนค่อยว่ากัน หลังเกิดเหตุก็มีทหาร พร้อมรถพยาบาลวิ่งมารับสามี และคนเจ็บ แต่เขาไม่ให้คนไทยเข้าไปใกล้ จากนั้นเพื่อนก็พาทำเรื่องยื่นเอกสารขอกลับบ้าน เพราะนายจ้างก็หนีหายไป ไม่ทำเรื่องอะไรให้ จนค่ำกว่าจะตั้งสติได้ ก็พากันส่งรูปไปกงสุล กงสุลก็ติดต่อมาผ่านล่าม ใช้เวลานานกว่า 3-4 วันกว่าจะได้มาอยู่ในที่ปลอดภัยและกลับมาไทยได้
อยากวอนรัฐบาลช่วยหาศพสามีให้เจอและรับรีบนำร่างกลับมาประกอบพิธีทางศาสนา เพราะว่าศพที่ตายพร้อมกันก็ถูกนำกลับมาแล้ววันนี้ (20 ต.ค.) ส่วนศพสามียังไม่มีความคืบหน้าอะไรเลย ส่วนค่าสินไหมต่าง ๆ ก็คงให้พ่อแม่ฝั่งสามีเป็นคนจัดการเพราะตนกับสามีไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน ซึ่งหากได้ศพสามีกลับมาก็จะตั้งทำบุญตามประเพณีอยู่ที่บ้านในจังหวัดอุดรธานี และจะไปรับศพสามีด้วย
ส่วนคลิปที่ได้มาก็มีแต่คนที่อยู่ใกล้และประสบเหตุถ่ายเอาไว้ นายจ้างไม่ให้เข้าไปใกล้เลย เมื่อถามว่าค่าแรงที่ได้มันคุ้มไหม มันก็คุ้มอยู่ 50,000-60,000 บาท แต่มันไม่คุ้มเมื่อเจอเหตุการณ์สู้รบ และยิ่งนายจ้างไม่รับผิดชอบอะไร โดยขากลับให้ล่ามจองตั๋วเครื่องบินให้ในวันที่ 11 ต.ค. ในราคา 850 ดอลลาร์ ได้เที่ยวบินวันที่ 15 ต.ค. เวลา 21.45 น. ถึงไทยเวลา 10.30 น. ของวันที่ 16 ต.ค. ต่อเครื่องมาลงอุดรธานี และไปนอนพักที่บ้านสามีเพื่อเป็นกำลังใจให้ครอบครัวสามี ก่อนจะเดินทางกลับมาบึงกาฬ