ช่วยกลับบ้านแล้ว 41 คนไทย เหยื่อค้ามนุษย์ในเล่าก์ก่าย เล่าชีวิต ทรมานจนต้องหนี

ความคืบหน้าการช่วยเหลือคนไทยในเมียนมา ล่าสุดวันนี้มีข่าวดี คนไทย 41 คนจากเมืองเล่าก์ก่ายได้รับการช่วยเหลือกลับถึงประเทศไทยแล้วที่จังหวัดเชียงราย และกำลังเข้าสู่กลไกการส่งต่อระดับชาติ หรือ NRM เพื่อคัดกรองผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ ที่มณฑลทหารบกที่ 37 กลุ่มคนไทยขอบคุณทุกฝ่ายที่ให้การช่วยเหลือให้ปลอดภัยจากขบวนการค้ามนุษย์และแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ โดยทั้งหมดต่างหวาดกลัว ไม่อยากให้คนไทยต้องถูกหลอกลวงไปทำงานในรูปแบบนี้ และพื้นที่เสี่ยงจากสถานการณ์การสู้รบในเมียนมาด้วย



พลตรีประพัฒน์ พบสุวรรณ ผู้บัญชาการกองกำลังผาเมือง พันเอก ณฑี ทิมเสน ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจทัพเจ้าตาก ถ่ายภาพร่วมกับ พันเอก ตู๋ล่า ส่อวินโซ ผู้บังคับการกองบังคับการยุทธศาสตร์ท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา ที่สะพานมิตรภาพ ไทย-เมียนมา แห่งที่ 1 ก่อนส่งมอบตัวคนไทย 41 คน ซึ่งอพยพจากเมืองเล่าก์ก่าย เขตปกครองพิเศษโกก้าง มายังเมืองหนานเติ้ง และเมืองป็อก เขตปกครองพิเศษว้าแดง ก่อนจะส่งมอบให้กองทัพเมียนมา นำมาพักคอยที่เมืองเชียงตุง ซึ่งกระทรวงกลาโหม โดยกองทัพบก ที่บูรณาการร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ สถานเอกอัครราชทูต ณ​ กรุงย่างกุ้ง และมูลนิธิเอ็มมานูเอล IMF Thailand ประสานงานผ่านกลไก คณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่น TBC ไทย-เมียนมา ที่ทำงานใกล้ชิดกันมานาน ทางเมียนมาจึงได้อำนวยความสะดวกในการดูแลคนไทยและนำส่งให้ไทยอย่างปลอดภัย และนำขึ้นรถบัสออกจากด่านพรมแดนแม่สาย ไปยังโรงพยาบาลค่ายเม็งรายมหาราช อ.เมือง จ.เชียงใหม่ จึงต้องขอบคุณทุกฝ่ายที่ร่วมทำงานในการช่วยเหลือคนไทยให้ได้กลับมาในครั้งนี้



ซึ่งที่โรงพยาบาลค่ายเม็งรายมหาราช ทีมแพย์ได้เปิดจุดคัดกรองโรคตวจสุขภาพ ก่อนส่งต่อให้สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์บันทึกประวัติ และเข้าสู่กลไกการส่งต่อระดับชาติ หรือ NRM คัดกรองผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ อยู่ที่มณฑทลทหารบกที่ 37 จนกว่าจะแล้วเสร็จกระบวนการ ซึ่งทั้งหมดถือเป็นผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ หากสอบสวนพบอยู่ในกลุ่มที่กระทำผิดกฏหมายจะคัดแยกไปดำเนินคดี ซึ่งเบื้องต้นพบประวัติอาจเกี่ยวข้อง 4-6 คน



สำหรับคนไทยทั้ง 41 คน เป็นผู้ชาย 22 คน ผู้หญิง 19 คน ส่วนใหญ่เป็นชาวจังหวัดเชียงราย อายุระหว่าง 20 ปี ถึง 30 ปี เนื่องจากทั้งหมดเข้าสู่กลไกการส่งต่อระดับชาติหรือ NRM แล้ว



ข่าว 3 มิติได้พูดคุยกับบางคนที่ยินยอมให้ข้อมูล เปิดเผยว่า ทั้งหมดเคยทำงานอยู่ตึกหมายเลข 9 เมืองเล้าท์ก่าย เขตปกครองพิเศษโกก้าง รัฐฉานเหนือ บางส่วนทำงานในคาสิโน บางส่วนทำงานธุรกิจออนไลน์ โดยทั้งหมดถูกหลอกให้ไปทำงานไม่ตรงปก จากที่โฆษณา และหลงเชื่อเพราะมีการทำวีซาเดินทางด้วยเครื่องบินจากไทยไปเมียนมา มารู้ตัวอีกทีก็มาถึงเมืองเล่าก์ก่ายที่มารู้ภายหลังว่ามาทำงานภายใต้อิทธิพลของนายทุนจีน ถูกบังคับทรมานให้ทำงาน ทำร้ายร่างกาย จนต้องมีการร้องเรียนขอความช่วยเหลือ



ซึ่งกลุ่ม 41 คนได้หลบหนีออกมาเอง ไม่ได้อพยพไปพร้อมกับคนไทย 162 คนแรกที่ไปอยู่ศูนย์พักพิงค่ายทหารเมียนมา โดย 41 คนนี้เปิดเผยว่า ได้หลบหนีมาเจอทหารกองกำลังโกก้างได้ช่วยออกมา หลังทางการจีนเข้ามากวาดล้างกลุ่มนายทุนจีน และเริ่มมีการสู้รบ จากนั้นได้รับการช่วยเหลือจากกองกำลังว้าแดง ที่ให้ที่พักดูแลอย่างดี ก่อนส่งต่อให้ทหารเมียนมา ซึ่งการได้กลับถึงไทยเหมือนการรอดตาย และไม่คิดจะกลับไปทำงานอีก



ครอบครัวคนไทยขอบคุณรัฐบาลและทุกฝ่ายที่ช่วยเหลือให้ลูกได้กลับบ้าน ก่อนหน้านี้รู้เพียงลูกไปทำงานต่างประเทศ แต่ไม่รู้ว่าไปทำงานอะไร จนกระทั่งขาดการติดต่อและลูกถูกบังคับทรมานจึงขอความช่วยเหลือผ่านองค์กรต่างๆ ซึ่งมูลนิธิเอมมานูเอล เปิดเผยว่าในจำนวนคนไทย 41 คนนี้มีที่ร้องเรียนผ่านมูลนิธิเอ็มมานูเอล



มูลนิธิเอ็มมานูเอล ยืนยันว่าในจำนวนนคนไทยกลุ่มนี้เป็นเหยื่อการค้ามนุษย์เพราะลักษณะการถูกหลอกลวงเข้าข่ายการค้ามนุษย์กระบวนการหลังจากนี้จะต้องให้การคุ้มครองผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์และคัดกรองในส่วนผู้กระทำผิดที่ต้องดำเนินคดี



ขณะที่นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ขอบคุณทุกฝ่ายที่ช่วยเหลือคนไทย ทั้งกลุ่มที่ได้ออกมาแล้ว 41 คน และอีก 254 คน ที่อยู่ระหว่างขั้นตอนการประสาน เชื่อว่าจะได้กลับประเทศไทยเร็วๆนี้ ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศยืนยันว่าไม่ได้นิ่งนอนใจ แต่เหตุที่ต้องใช้เวลาเพราะการช่วยเหลือคนไทยในเมืองเล่าก์ก่ายมีความซับซ้อนยทางกฏหมาย เพราะพื้นที่เมืองเล่าก์ก่าย คนต่างชาติที่เข้าไปต้องได้รับอนุญาต ทางการเมียนมาจึงต้องตรวจสอบกฏหมายคนเข้าเมือง และ พรบ.ฉุกเฉิน และงานที่ไปทำส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคอลเซ็นเตอร์และ สแกม เซ็นเตอร์ จึงต้องตรวจสอบว่ามีส่วนรู้เห็นในการหลอกลวงฉ้อโกงผู้อื่นหรือไม่ แต่รัฐบาลได้เจรจาบนหลักมนุษยธรรม เนื่องจากมีสถานการณ์สู้รบ ที่คนไทยต้องตกเป็นผู้หนีภัยการสู้รบด้วย