สังคม

นายกฯ ชวนลงทุนแลนด์บริดจ์ ขณะชาวชุมพร-ระนอง ลุยค้าน

14 พ.ย. 2566

224 views

ในระหว่างการเยือนนครซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา เพื่อเข้าร่วมประชุมสุดยอดผู้นำเอเปค นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้ร่วมสัมมนาโครงการแลนด์บริดจ์ เชิญชวนเอกชนร่วมลงทุนครั้งประวัติศาสตร์ของไทย รองรับการคมนาคมและขนส่งที่คุ้มค่า ซึ่งมีเสียงตอบรับที่ดีจากนักลงทุนในสหรัฐฯ



นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ร่วมงานสัมมนาโครงการ ไทยแลนด์ แลนด์บริดจ์ โรดโชว์ ที่นครซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา เชิญชวนเอกชนร่วมลงทุนโครงการ ที่จะทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการค้าและการคมนาคมขนส่ง ระหว่างเอเชียกับยุโรป



โดยในแต่ละปีมีเรือประมาณ 90,000 ลำ ผ่านช่องแคบมะละกา และเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย 2.35 % ทุกปี ซึ่งคาดว่าจะเกินความจุของช่องแคบมะละกาภายในปี 2573 หากช่องแคบมะละกามีความแออัดมากขึ้น อาจส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างมาก โครงการแลนด์บริดจ์ของไทย มีที่ตั้งทางยุทธศาสตร์ใจกลางคาบสมุทรอินโดจีน จึงสามารถเชื่อมโยงระหว่างมหาสมุทรแปซิฟิกและมหาสมุทรอินเดีย ที่เป็นทางเลือกที่สำคัญในการแก้ไขปัญหาช่องแคบมะละกา ที่ถูกกว่า เร็วกว่า และปลอดภัยกว่า



เมื่อเปรียบเทียบต้นทุนและเวลาสำหรับการขนส่งผ่าน แลนด์บริดจ์ กับช่องแคบมะละกาแล้ว กลุ่มเป้าหมายที่เป็นไปได้ คือเรือตู้สินค้า สินค้าจากประเทศจีนและประเทศในยุโรปโดยเรือแม่ จะได้รับการส่งต่อโดยเรือตู้สินค้าในพื้นที่นี้ ซึ่งช่วยประหยัดต้นทุนได้อย่างน้อย 4% และดำเนินการได้เวลา 5 วัน สินค้าจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปยังเอเชียกลาง และตะวันออกกลางโดยใช้เรือตู้สินค้า ข้ามระหว่างมหาสมุทรอินเดียและมหาสมุทรแปซิฟิกสามารถประหยัดต้นทุนได้อย่างน้อย 4% และประหยัดเวลาได้ 3 วัน และผลิตภัณฑ์จากประเทศไทย ลาว กัมพูชา และจีนตอนใต้ ไปจนถึง บีมส์เทค (BIMSTEC) และประเทศในทวีปยุโรป สามารถกระจายได้โดยใช้เรือตู้สินค้าที่แลนด์บริดจ์ไปยังภูมิภาคต่างๆ ได้ สิ่งเหล่านี้จะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากถึง 35% และประหยัดเวลาได้ 14 วัน โดยการขนส่งสินค้าผ่าน แลนด์บริดจ์ จะช่วยลดเวลาการเดินทางได้ 4 วัน และลดต้นทุนโดยเฉลี่ยได้ 15%



นอกจากนี้ นักลงทุนยังจะได้รับประโยชน์จากการพัฒนา แลนด์บริดจ์ นอกจากสินค้าน้ำมันดิบแล้ว ยังมีในภาคบริการ ผ่านโลจิสติกส์ อสังหาริมทรัพย์ และการธนาคาร การเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร และในภาคอุตสาหกรรม เชื่อว่า จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม สร้างงาน 280,000 ตำแหน่ง และคาดว่า GDP ของไทยจะเติบโต 5.5% ต่อปี หรือเทียบเท่ากับ 670,000 ล้านดอลลาร์เมื่อดำเนินโครงการอย่างเต็มรูปแบบ นายกฯ เชื่อมั่นว่า โครงการ Landbridge เป็นโอกาสที่ไม่เคยมีมาก่อนของไทย และเป็นโครงการเมกกะโปรเจ็คที่สำคัญ โดยจะมีการพูดคุยกับนักลงทุนสหรัฐ 50 คน และนักลงทุนไทย 30 คน ว่า จะสามารถจับคู่ทางธุรกิจร่วมกันในอนาคต คาดว่าโครงการนี้จะมีความชัดเจนใน 2 ปี



สำหรับโครงการแลนด์บริดจ์มีแนวคิดมากว่า 30 ปีแล้ว จนในรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาได้บรรจุไว้ในยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และล่าสุดที่ประชุมคณะรัฐมนตรีรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม ได้รับทราบหลักการและให้กระทรวงคมนาคม จัดโรดโชว์ รับฟังความคิดเห็นของนักลงทุนต่างชาติ ตั้งเป้าจะเปิดให้บริการในปี 2573 มูลค่าการลงทุนกว่า 1 ล้านล้านบาท



โครงการแลนด์บริดจ์ หรือโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งเพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ เพื่อเชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน เป็นโครงการที่ผลักดันมากว่า 30 ปี ตั้งแต่ปี 2532 สมัยพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นนายกรัฐมนตรี และเปลี่ยนพื้นที่ศึกษามาแล้วหลายจุด



จนกระทั่งล่าสุดผลการศึกษาของสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร หรือ สนข.กระทรวงคมนาคม มาจบที่โครงการแลนด์บริดจ์ ชุมพร-ระนอง ซึ่งจะมีการสร้างท่าเรือน้ำลึกเชื่อมสองฝั่งทะเล จากท่าเรือชุมพร บริเวณแหลมริ่ว ตำบลบางน้ำจืด อ.หลังสวน จ.ชุมพร มายังท่าเรือระนองที่แหลมอ่าวอ่าง ต.ราชกรูด อ.เมือง จ.ระนอง



โดยฝั่งท่าเรือชุมพร จะมีการถมทะเลประมาณ 5,808 ไร่ เป็นส่วนของท่าเทียบเรือ 4,788 ไร่ พื้นที่ท่าเทียบเรือเอนกประสงค์ 1,020 ไร่ ส่วนฝั่งท่าเรือระนองจะมีการถมทะเลประมาณ 6,975 ไร่ เป็นพื้นที่ท่าเทียบเรือ 5,683 ไร่ และพื้นที่เอนกประสงค์ 1,372 ไร่ สามารถรองรับตู้สินค้าได้ฝั่งละ 20 ล้านทีอียู



จากท่าเรือทั้งสองฝั่ง จะมีโครงสร้างพื้นฐานที่เชื่อมโยงการขนส่งสินค้าระหว่างกันด้วยระบบราง ด้วยรถไฟรางคู่ และทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง หรือ มอเตอร์เวย์ ภายใต้แนวคิด One Port to side ระยะทาง 93.9 กิโลเมตร รองรับการขนส่งสินค้า ประมาณมูลค่าการลงทุนไว้ 1 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นการก่อสร้างท่าเรือ 636,477 ล้านบาท ฝั่งท่าเรือชุมพร 305,666 ล้านบาท และท่าเรือระนอง 330,810 ล้านบาท งบพัฒนาพื้นที่รูปแบบการขนส่งสินค้าอีกกว่า 1 แสนสี่หมื่นล้านบาท และรถไฟทางคู่มอเตอร์เวย์ กว่า 2 แสน 2 หมื่นล้านบาท



การดำเนินการหลังการโรดโชว์ที่จะดำเนินการในช่วงเดือนพฤศจิกายนนี้ถึงมกราคมปี 2567 จากนั้นจะมีการจัดทำร่างพระราชบัญญัติระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ หรือ SEC และจัดตั้งคณะกรรมการนโยบายและสำนักงานนโยบายระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ ภายในเดือนธันวาคม 2567 จะมีการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนภายในเดือนมิถุนายน 2569 ควบคู่การออกพระราชกฤษฎีกา เวนคืนที่ดินและจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินภายในธันวาคม 2569 และเริ่มก่อสร้างใช้ระยะเวลา 5 ปี ตั้งเป้าจะเปิดบริการในเดือนตุลาคม 2573



ส่วนรูปแบบการลงทุนเป็นการร่วมทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน หรือ PPP เป็นการให้สิทธิแก่เอกชนลงทุนในการก่อสร้างและบริหารจัดการเป็นระยะเวลา 50 ปี



ข่าว 3 มิติ ลงสำรวจพื้นที่ที่ตั้งโครงการแลนด์บริดจ์ ทั้งในส่วนท่าเรือระนอง ชุมพร และพื้นที่ที่จะเวนคืนสร้างรถไฟทางคู่และมอเตอร์เวย์ที่จะผ่านพื้นที่อำเภอพะโต๊ะ จังหวัดชุมพร แม้ทาง สนข.กระทรวงคมนาคม ชี้แจงว่ามีการลงพื้นที่รับฟังความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่แล้ว แต่มีประชาชนที่ไม่เห็นด้วยและคัดค้านโครงการแลนด์บริดจ์ อยากให้นายกรัฐมนตรีลงพื้นที่ดูผลกระทบที่จะเกิดขึ้น ก่อนไปขายของโรดโชว์ให้ต่างชาติ



จากอ่าวท่าหิน ต.ม่วงกลวง อ.กะเปอร์ จ.ระนอง ที่เรายืนอยู่นี้ มองออกไปคือ ปลายแหลมอ่าวอ่าง ต.ราชกรูด อ.เมือง จ.ระนอง ซึ่งเป็นที่ตั้งท่าเรือน้ำลึกระนอง ในโครงการแลนด์บริดจ์ ที่จะมีการใช้พื้นที่ก่อสร้างออกไปในทะเล ระยะทาง 11 กิโลเมตร ขุดลึกลงไป 19 เมตร เนื้อที่กว่า 5 พันไร่ ซึ่งฝั่งหนึ่งของอ่าวอ่าง ติดกับอุทยานแห่งชาติแหลมสน อีกฝั่งคือเกาะช้าง และเกาะพยาม ที่กำลังเป็นแหล่งท่องเที่ยวชื่อดังของจังหวัดระนอง



นายสามารถ อาจหาญ ประธานกลุ่มประมงพื้นบ้านม่วงกลวง ยอมรับว่า ทะเลระนอง หลังผ่านการฟื้นฟูจากสึนามิ กว่า 10 ปีมานี้ชาวบ้านที่ส่วนใหญ่เป็นชาวประมงกำลังมีความสุขกับชีวิตที่สร้างรายได้จากฐานทรัพยากร เพราะทะเลที่จะสร้างเป็นท่าเรือน้ำลึก เป็นแหล่งอาหารทะเลที่สร้างรายได้ให้ทั้งจังหวัดระนอง หากมีการขุดร่องน้ำ และมีเรือหลายหมื่นลำเข้ามา จะส่งผลกระทบกับระบบนิเวศน์ ชาวประมงก็จะไม่มีอาชีพ เพราะไม่มีใครอยากไปเป็นลูกจ้างในนิคมอุตสาหกรรม จึงมองไม่เห็นว่าชาวบ้านในพื้นที่จะได้ประโยชน์อะไร



ชาวบ้านในพื้นที่มองไม่เห็นว่าเมื่อมีโครงการแลนด์บริดจ์แล้วพวกเขาจะอยุ่ตรงไหนในเมกะโปรเจ็คของรัฐบาล เพราะหากมองที่ฐานทรัพยากรที่มีอยู่ หากรัฐทุ่มเทกับการพัฒนาให้เต็มที่ประชาชนก็มีรายได้ที่ยั่งยืน ไม่นับรวมถึงนิคมอุตสาหกรรมที่จะเกิดขึ้นตามมา ก็ไม่ได้บอกข้อมูลกับคนในพื้นที่ทั้งหมด และยังเป็นห่วงระบบนิเวศน์โดยรวมที่ใกล้เคียงกับท่าเรือน้ำลึกยังมีพื้นที่ชุ่มน้ำแรมซาร์ไซส์ด้วย



สำหรับเส้นทางก่อสร้างรถไฟทางคู่และมอเตอร์เวย์ จากท่าเรือระนอง ไปยังท่าเรือชุมพร ระยะทาง 89.35 กิโลเมตร จะมีทั้งทางระดับพื้น ทางยกระดับและอุโมงค์ ผ่านพื้นที่ 9 ตำบล 3 อำเภอ ทั้งใน อ.หลังสวน อ.พะโต๊ะ จ.ชุมพร และอำเภอเมือง จังหวัดระนอง ซึ่งจะต้องเวนคืนที่ดิน ที่พบว่าผู้ได้รับผลกระทบจะเป็นชาวประมง และชาวสวน โดยเฉพาะสวนทุเรียนที่กำลังเป็นรายได้หลักของชาวชุมพร อย่างครอบครัวนางปราณี วาสินธุ์ อายุ 90 ปี ได้บุกเบิกทำสวนทุเรียนมาเกือบ 40 ปี เนื้อที่เกือบ 50 ไร่ และมีเอกสารสิทธิ์ เป็นหนึ่งผู้ที่จะถูกเวนคืนสร้างทางรถไฟ พวกเขายืนยันว่าไม่คุ้มค่ากับสิ่งที่สูญเสียไปเพราะค่าเวนคืนต้นทุเรียน 18,000 บาท เทียบไม่ได้กับรายได้ทุเรียนต้นละประมาณ 5 หมื่นบาท และเงินเวนคืนคงไม่สามารถไปหาซื้อที่ดินใหม่ สร้างสวนทุเรียนได้แบบนี้อีกแล้ว จึงอยากให้นายกรัฐมนตรีคิดใหม่



สำหรับที่ตั้งท่าเรือชุมพร บริเวณแหล่มริ่ว ต.บางน้ำจืด อ.หลังสวน จ.ชุมพร เนื้อที่กว่า 5 พันไร่ เป็นท่าเรือเดิมที่ชาวบ้านบอกว่าจากท่าเรือแหล่มริ่วเดินทางไปกลับเกาะเต่า แหล่งท่องเที่ยวชื่อดังได้ใกล้ที่สุด การมีท่าเรือน้ำลึกก็ห่วงจะกระทบกับการท่องเที่ยวเกาะเต่า รวมถึงระบบนิเวศน์ของชาวชุมพร อย่างนางสาววันเพ็ญ เพชรแดง เธอไม่เห็นด้วย เพราะสวนทุเรียนของเธอจะถูกเวนคืนสร้างทางรถไฟ เธอเรียกร้องให้รัฐบาลทบทวนโครงการแลนด์บริดจ์ว่าเกิดความคุ้มค่าจริงหรือ



นักวิชาการที่ลงพื้นที่ตรวจสอบที่ตั้งโครงการแลนด์บริดจ์เห็นตรงกันว่า โครงการแลนด์บริดจ์ผ่านเพียงการรับฟังความคิดเห็น ค.1 เท่านั้น แต่การที่นายกรัฐมนตรีไปโรดโชว์ขายของในต่างประเทศแล้ว เป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม



ในวันพรุ่งนี้ 15 พฤศจิกายน ชาวอำเภอพะโต๊ะ จังหวัดชุมพร จะจัดเวทีร่วมชำแหละโครงการแลนด์บริดจ์ ร่วมกับภาคประชาชน ที่ อบต.พะโต๊ะ เพื่อยืนยันว่าโครงการแลนด์บริดจ์ไม่ควรเกิดขึ้น เป็นเวทีคู่ขนานกับนายกรัฐมนตรี ที่นครซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา

คุณอาจสนใจ

Related News