สจล.เปิดตัวนวัตกรรม AI ตรวจโควิดกลายพันธุ์ ใช้เวลาเพียง 30 วินาที แม่นยำ 99%

ท่ามกลางปัญหาเรื่องวัคซีน การระบาดก็ยังคงดำเนินอยู่ โดยเฉพาะเรื่องการกลายพันธุ์ของไวรัส ล่าสุดสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ได้พัฒนานวัตกรรมเอไอตรวจโควิดกลายพันธุ์มาใช้สนับสนุนการทำงานของแพทย์ ซึ่งใช้เวลาเพียง 30 วินาทีในการจำแนกเท่านั้น โดยมีความแม่นยำถึง 99% และนำมาใช้จริงแล้วกับการจำแนกเชื้อจากคลัสเตอร์ตากใบจนพบเชื้อสายพันธุ์แอฟฟริกาใต้

ซึ่งระบบเอไอตรวจโควิดกลายพันธุ์ พัฒนาโดยรองศาสตราจารย์ ดร.ศิริเดช บุญแสง คณบดีคณะเทคโนโลยีสารสนเทศ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ซึ่งการแสดงผลลักษณะนี้เป็นการนำข้อมูลสารพันธุกรรมทั้งหมดหรือจีโนมที่ได้ มาเข้าโปรแกรมประมวลผลพร้อมกัน

หากพบเชื้อกลายพันธุ์ เครื่องก็จะแสดงผลการกลายพันธุ์เป็นสีแดงบนจีโนม ซึ่งนวัตกรรมนี้สามารถตรวจหาเชื้อกลายพันธุ์ได้ครอบคลุมถึง 8 สายพันธุ์ เช่น โควิด-19 สายพันธุ์อังกฤษ แอฟฟริกาใต้ และอินเดีย โดยมีความแม่นยำถึง 99% ตรวจหาเชื้อได้มากกว่า 1,000 ตัวอย่างภายในเวลา 30 วินาที จากเดิมที่ 1 ตัวอย่างใช้เวลา 2 ชั่วโมง ปัจจุบันถูกนำมาใช้งานจริงแล้ว ร่วมกับโรงพยาบาลรามาธิบดีเพื่อตรวจหาเชื้อกลายพันธุ์ เช่น กรณีพบเชื้อสายพันธุ์แอฟริกาใต้จากคลัสเตอร์ตากใบจังหวัดนราธิวาส

ขณะเดียวกันทีมนวัตกรของสจล. ก็ได้พัฒนานวัตกรรมทางการแพทย์อื่นๆ เช่น แอปพลิเคชั่นตรวจหาเชื้อโควิดแบบแรงแสง ที่แสดงผลผ่านการใช้แอปพลิเคชั่นอ่านค่าเรืองแสงของชุดตรวจชีวโมเลกุลด้วยกล้องสมาร์ทโฟน ในราคาชุดละ 400 บาท รู้ผลภายใน 45 นาที เอไอวัดสัญญาณชีพทางไกล ให้แพทย์ประจำโรงพยาบาลสนามใช้ติดตามสัญญาณชีพจากคนไข้ โดยมีต้นทุนไม่เกิน 150,000 บาท ถูกกว่าแบบเดิมถึง 3 เท่า เตียงความดันลบ และ อาหารกระตุ้นภูมิคุ้มกัน

ศาสตราจารย์ ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ อธิการบดี สจล. ระบุว่า ทางมหาวิทยาลัยมีแนวคิดผลักดันงานวิจัยและการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ทางวิชาการในกลุ่มนวัตกรรมทางการแพทย์ โดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด 19 ภายใต้ศูนย์นวัตกรรม KMITL go fight COVID19 เพื่อสร้างความมั่นคงด้านการแพทย์ ด้วยนวัตกรรมเอไอและ IOT

ล่าสุด สจลได้รับการจัดอันดับให้เป็นมหาวิทยาลัยวิจัยอันดับ 1 ในไทย จากมหาวิทยาลัยทั่วเอเชีย โดย Times higher education wolrd university ranking 2021 ซึ่งขณะนี้ทางสถาบันได้ต่อยอดนวัตกรรมทางการแทพย์ด้วยหลักสูตรแพทย์นวัตกร และ โรงพยาบาลพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหาร ที่จะวางรากฐานสู่การพัฒนาระบบสาธารณสุขของไทยได้อย่างยั่งยืนในอนาคต