องค์การอนามัยโลก ชี้ "ไทย" ต้องเข้มข้นในมาตรการป้องกันแพร่ระบาดโควิด-19 หลังถูกโควิดสายพันธุ์เดลตาโจมตีจนระบาดหนัก

ในเวที โครงการความร่วมมือระหว่างสหภาพยุโรปหรืออียูและองค์การอนามัยโลก (WHO) ในภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ว่าด้วยการรับมือและความพร้อมในการจัดการโรคระบาดในประเทศไทย ซึ่งมีนายอนุทิน ชาญวีรกูร รองนายกฯและรมว.สธ.ร่วมด้วยกับผู้แทน WHO

นพ.ริชาร์ด บราวน์ ผอ.โครงการด้านภัยสุขภาพฉุกเฉิน WHO สำนักงานประจำประเทศไทย กล่าวว่า การระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกแรก ประเทศไทยควบคุมโรคได้สำเร็จ แต่สถานการณ์ขณะนี้ระบาดมาก เพราะไวรัสมีการกลายพันธุ์ ทำให้เชื้อแพร่กระจายง่ายขึ้น หลายคนไม่ได้คาดการณ์ว่าจะเกิดขึ้น ซึ่งประเทศไทย ไม่ใช่ประเทศเดียวที่มีปัญหานี้ แม้แต่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชา เวียดนาม ก็เจอสถานการณ์นี้ แม้จะฉีดวัคซีนประชากรครอบคลุมมากพอแล้ว ดังนั้นไทยต้องเพิ่มความเข้มข้นมากขึ้นกว่านี้ เพื่อหยุดยั้งตัดวงจรการระบาดได้

ด้าน นพ.นคร เปรมศรี ผอ.สถาบันวัคซีนแห่งชาติ กล่าวว่า เรื่องไวรัสกลายพันธุ์ไม่ใช่ความผิดพลาดคนทำงาน แต่เป็นธรรมชาติของเชื้อไวรัส หากบอกว่า วัคซีนไม่ได้ผลก็ไม่แฟร์กับวัคซีน เพราะวัคซีนเกิดก่อนไวรัสกลายพันธุ์ วันนี้อยากได้วัคซีนที่สนองต่อไวรัสกลายพันธุ์ก็ยังไม่มี ขณะนี้ผู้ผลิตกำลังพัฒนาวัคซีนต่อสายพันธุ์เบตา เพราะมาก่อน ซึ่งต้องรอถึงปลายปี แต่ยังไม่มีเจ้าไหนผลิตวัคซีนต่อสายพันธุ์เดลตา ซึ่งก็ไม่รู้ว่าปลายปีนี้ จะสายพันธุ์อื่นที่กลายพันธุ์ไปมากกว่านี้หรือไม่ เพราะฉะนั้นตัววัคซีนก็ไล่ตามไม่ทันแน่

นพ.นครกล่าวว่า สิ่งสำคัญคือ เน้นฉีดวัคซีนกลุ่มเสี่ยง เพื่อลดอาการรุนแรงของโรค ลดเสียชีวิต ลดภาระของ รพ.ที่ดูแลผู้ป่วยหนัก ดังนั้น วัคซีนที่มีอยู่ ไม่ว่าซิโนแวคหรือแอสตร้าเซนเนกา เป็นตัวยังช่วยป้องกัน เจ็บป่วยรุนแรงและเสียชีวิตได้ดีทั้งคู่ แม้เป็นไวรัสกลายพันธุ์ จึงต้องเร่งฉีดให้คลอบคลุมมากที่สุด

สามารถดูข่าวทาง Youtube ได้ที่ : https://youtu.be/kGGhCUbYCXw