เลือกตั้งและการเมือง
“บิ๊กเล็ก” รับหนังสือทีม นศ.รามฯ ยื่นข้อเสนอคลี่คลายพิพาทไทย-กัมพูชา เจ้าตัวยันไม่มีใบสั่ง-คนชักใย
23 ก.ค. 2568
88 views
“บิ๊กเล็ก” รับหนังสือทีม นศ.รามฯ ยื่น 3 ข้อเสนอคลี่คลายพิพาทไทย-กัมพูชา พร้องเปิดวงคุยพี่แนะน้อง บอกจะปิดปราสาทตาเมือนธมต้องเป็นไปตามกติกา ยันกองทัพ-รัฐบาลทำงานทิศทางเดียวกัน ไม่มีใบสั่ง-คนชักใย
วันนี้ (23 ก.ค. 2568) เวลา 09.30 น. ที่กระทรวงกลาโหม นายศิริมงคล อินทร์แก้วนายกองค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง พร้อมตัวแทนนักศึกษารามคำแหง เดินทางมายื่นหนังสือเกี่ยวกับประเด็นสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา เพื่อเรียกร้องให้ พลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์ หรือ บิ๊กเล็ก รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะรักษาการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ทำงานให้รวดเร็ว ไม่ล่าช้า และไม่ต้องเกรงใจรัฐบาล
ช่วงแรกมี พ.อ.ฐาปณา อุไรวรรณ รองหัวหน้าสำนักงานรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม ออกมารับหนังสือแทน แต่หลังจากนั้นไม่นาน ทางเจ้าหน้าที่กระทรวงกลาโหมแจ้งว่า พลเอกณัฐพลยินดีลงมาพบตัวแทนนักศึกษาด้วยตัวเอง เมื่อรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมมาถึงได้อนุญาตให้น้องๆ นักศึกษาที่รออยู่ด้านนอกเข้ามาพูดคุยกันในห้อง
พลเอกณัฐพล กล่าวว่า ยินดีต้อนรับทุกคน และขออภัยในความไม่สะดวก ส่วนใหญ่จะให้ผู้แทนเข้ามามอบหนังสือ และตนเองจะไม่ได้ลงมารับหนังสือด้วยตัวเอง รวมถึงวันนี้ก็มีประธานบริษัทมินิแบร์ของญี่ปุ่นมาพบเพื่อขอความช่วยเหลือ เนื่องจากทางบริษัทมีโรงงานผลิตสินค้าในประเทศไทย แต่มีโรงงานผลิตชิ้นส่วนในกัมพูชา เมื่อสถานการณ์เป็นแบบนี้จึงไม่สามารถ ส่งชิ้นส่วนจากกัมพูชาเข้ามาในประเทศไทยได้ ทำให้ตอนนี้ทางบริษัทต้องหยุดการผลิตไป ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างในโรงงาน จึงอยากเรียนให้ทราบว่า ศบ.ทก. ในการบริหารสถานการณ์ ต้องรักษาสมดุลให้ดี ถ้าแรงไปก็มีกลุ่มที่เดือดร้อน หากอ่อนไปกลุ่มที่เน้นศักดิ์ศรีก็ไม่พอใจ ดังนั้นตนเองก็มาชั่งน้ำหนักว่าจะทำยังไง ตามหน้างาน หากอีกฝ่ายทำอะไรไม่ดีเราก็ว่ากันไป อะไรที่พอมีเหตุผลรับได้ก็ว่ากันไป
โดยสิ่งที่รับไม่ได้ เช่น การวางทุ่นระเบิดในเขตอธิปไตยของไทย ซึ่งถือว่าผิดอนุสัญญาออตตาวา โดย ศบ.ทก. คำนึงคืออยากรู้ว่าทุ่นระเบิดเป็นของใหม่ หรือเป็นทุ่นระเบิดที่เคยวางไว้แล้วนำไปเก็บ แล้วค่อยเอามาวางใหม่ ซึ่งถือว่ามีความแตกต่างกัน แต่ถือว่ามีความผิดเหมือนกัน โดยถ้าหากว่าเป็นของใหม่แต่ไม่ยอมทำลาย ถือว่าจะเป็นความผิดอีก 1 คดี
ทั้งนี้ พลเอกณัฐพล ยืนยันว่ารัฐบาลกับกองทัพทำงานเป็นไปในทิศทางเดียวกัน เปรียบเทียบว่าตนเองก็เหมือนระบบไฮบริดที่เป็นทั้งทหาร และรัฐบาล ย้ำอีกว่าไม่มีเกรงใจใครในรัฐบาล บางคนมองว่าเราทำงานภายใต้การชักใย แต่ตอนที่นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ถูกสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ก็ไม่เคยมาคุยเรื่องนี้กันเลย เรามีอิสระในการทำงาน
ส่วนความวุ่นวายที่ปราสาทตาเมือนธม พลเอกณัฐพล เปิดเผยว่า เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาได้มีการปรึกษากับแม่ทัพภาคที่ 2 โดยหารือว่าทหารที่เข้าไปดูแลในพื้นที่ต้องมีฝ่ายละ 7 คนโดยไม่มีอาวุธ ส่วนนักท่องเที่ยวขอให้ขึ้นมากันเป็นกลุ่ม หากมาเป็น 1,000 คน ก็ขอให้ขึ้นมาทีละกลุ่ม แต่ที่เป็นกังวลคือ เกรงว่าจะมีการมายั่วยุ แล้วทหารเกินความอดกลั้น ซึ่งหากมีการใช้อาวุธเกิดขึ้นนั่นคือพลเรือนจะสูญเสีย ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ แล้วเราจะเป็นรองทันที
ส่วนเรื่องการปิดปราสาทตาเมือนธมนั้น พลเอกณัฐพล เผยว่า การทำอะไรต้องเป็นไปตามกติกาสังคม สมเหตุสมผล เหมาะสม แต่ก็ได้เตรียมการรับมือเอาไว้แล้วว่าต้องทำตามขั้นตอน หากมีการก่อกวนก็ให้ทหารฝ่ายกัมพูชาเชิญตัวออก แต่หากยังไม่ไปยังยั่วยุอยู่จะใช้ทหารพรานหญิงเข้าไปคลี่คลาย แต่ถ้ายังไม่หยุดอีกก็จะใช้กองร้อยปราบจราจลเข้าไป ถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่มีการใช้กองร้อยจราจล เราจะขอปิดสถานที่ เพราะถือว่าเป็นการก่อความวุ่นวาย
สำหรับการใช้กองร้อยปราบจราจลจะนุ่มนวลกว่าการใช้กำลังทหาร เพราะทหารมีอาวุธสงคราม ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นเราเสียเปรียบ และเป็นรองทันที แทนที่จะได้เล่นงานเรื่องทุ่นระเบิด แต่เราดันพลาดเรื่องนี้
บางช่วงบางตอนพลเอกณัฐพลกล่าวว่า การที่ตนเองทำงานตรงนี้ไม่ได้หวังให้ก้าวหน้า เพราะตนเองไม่ใช่นักการเมืองอาชีพ มาตรงนี้เฉพาะกิจ ถ้าตอนไปหากรัฐบาลปรับเราออก เราก็กลับไปทำสวน ไม่ได้คาดหวังว่าจะอยู่ได้นานเท่าไหร่ แต่จะทำดีจนวันสุดท้าย ตอนนี้เราเป็นรัฐบาลประชาชนรอพึ่งเราอยู่ มีอะไรก็พูดความจริงกับประชาชน ซึ่งการที่ตนเป็นทหารจะได้เปรียบที่พูดน้อย ฝ่ายตรงข้ามจะได้ไม่รู้ว่าตอนนี้เราทำอะไรอยู่ แต่ในสังคมตอนนี้ทำแบบนี้ไม่ได้ เพราะถ้าพูดน้อยหาว่าไม่ทำงาน ช่วงหลังทำใจได้เพราะถ้าทำงานโดยที่สังคมไม่รู้คงลำบากกว่า เราต้องใช้ฝีมือให้มากขึ้น
“ทุกคนไม่ต้องเป็นห่วงถ้ามีการล่วงล้ำอธิปไตยเมื่อไหร่ ตนจะไม่เป็นแบบนี้แน่นอน ประชาชนจะได้เห็นตนในอีก 1 บทบาท บอกได้เลยอาวุธที่เราพร้อมเผชิญหน้า แรงกว่าปี 2554 2 เท่า” พลเอกณัฐพลกล่าว
ส่วนเรื่องทุ่นระเบิดก็ได้ประนามไปแล้ว เราเองก็มาดูว่าจะสามารถทำอะไรได้มากกว่านี้หรือไม่
ด้านนายศิริมงคล อินทร์แก้ว นายกองค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง ได้อ่านแถลงการณ์สามข้อเรียกร้องระบุว่า
1. รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมควรต้องบูรณาการจัดการให้การทำงานเป็นไปในทิศทางเดียวกับกองทัพเลิกเกรงใจฝ่ายการเมืองที่อาจมีผลประโยชน์ทับซ้อนในเชิงเงื่อนไขส่วนตัวจนทำให้รัฐไทยดูอ่อนแอจนวันนี้ประชาชนตั้งคำถามว่าวันนี้รัฐบาลเพื่อไทย
2. ปิดพื้นที่จุดชนวนความขัดแย้งทันทีเพราะตอนนี้ไม่ใช่สถานการณ์ท่องเที่ยวแต่คือที่เผชิญหน้าของความขัดแย้งและจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ โดย ประเทศไทยอาศัยตามหลักฐานการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน
3. ทางองค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหงมองถึงความมั่นคงต้องมาก่อนไม่เห็นด้วยกับการเปิดด่านให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจเดินต่อไม่ว่ากรณีใดใดเราต้องรักษาความมั่นคงอย่างเข้มงวดเพราะขณะนี้เราไม่สามารถจัดการปัญหาด้านความมั่นคงได้อย่างเป็นรูปธรรมถ้าเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้นอีกใครจะรับผิดชอบและความมั่นคงย่อมสำคัญที่สุดในสถานการณ์ขณะนี้จนกว่าสถานการณ์จะดีกว่านี้
พร้อมทั้งเปิดเผยหลังเข้าไปพบ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมว่า หายคลางแคลงใจมากขึ้น เข้าใจและรับรู้มากขึ้น สบายใจว่าเราไม่เสียเปรียบแน่นอน วันนี้เราได้รับฟังการอธิบายเรื่องมาตราการเปิดปิดด่านอย่างไรบ้าง ก็รู้สึกว่ายังเป็นมาตรการที่ยังได้เปรียบอยู่ หลังจากนี้จะไปพูดคุย ไปกระจายข่าว ทำความเข้าใจให้กับพี่น้องประชาชนได้รับรู้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ว่าเรื่องไหนจริงหรือไม่จริงอย่างไร สำหรับวันนี้ไม่คิดว่าพลเอกณัฐพล จะลงมารับหนังสือด้วยตัวเอง รู้สึกเกินความคาดหวังไว้เยอะ
แท็กที่เกี่ยวข้อง บิ๊กเล็ก ,ไทยกัมพูชา ,นักศึกษารามคำแหง