เลือกตั้งและการเมือง

กต.เรียกร้อง “กัมพูชา” อีกครั้ง ลดความตรึงเครียดชายแดน ย้ำจุดยืนใช้ JBC แก้ปัญหา

โดย nicharee_m

7 มิ.ย. 2568

276 views

โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงการณ์มาตรการตอบโต้กัมพูชา ให้กองทัพบกพิจารณาเปิดปิดด่านตามความเหมาะสม ย้ำจุดยืนพร้อมหารือในเวทีทวิภาคี เพื่อไม่ให้เหตุรุนแรงบานปลาย

วันที่ 7 มิ.ย.2568 นายนิกรเดช พลางกูร โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวแถลงการณ์จากรายงานสถานการณ์ชายแดนไทย - กัมพูชา ตามที่เกิดเหตุปะทะระหว่างทางทั้งสองฝ่าย เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 ที่ บริเวณช่องบก อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราช ซึ่งฝ่ายไทยมีความจำเป็นต้องป้องกันตนเอง และปกป้องอธิปไตยของประเทศโดยเป็นไปอย่างเหมาะสม คล้องกับกฎหมายระหว่างประเทศ และแนวปฏิบัติสากล

ภายหลังเหตุการณ์ดังกล่าวฝ่ายไทยได้ใช้ความอดทนอดกลั้น และมุ่งแก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธีโดย เรียกร้องให้ฝ่ายกัมพูชาลดความตึงเครียดในพื้นที่และจำกัดความขัดแย้งให้อยู่แค่ชุดเกิดเหตุ โดยมีการพูดคุยหาในทุกระดับ ทั้งระดับนายกรัฐมนตรี ระดับรัฐมนตรี ว่าการกระทรวงการต่างประเทศรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมและกองทัพบกของทั้งสองประเทศบนพื้นฐานของความสุจริตใจ และความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างไทยกับกัมพูชา ในฐานะประเทศเพื่อนบ้านและประเทศสมาชิกอาเซียน ซึ่งทั้งสองฝ่ายก็เห็นพ้องแนวทางการแก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธีโดยผ่านกลไกทวิภาคีที่มีอยู่แล้วมาโดยตลอด

ล่าสุดเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2568 รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของทั้งสองประเทศได้เข้าหารือกันที่จังหวัดสระแก้วเพื่อหาทางออกร่วมกันโดยฝ่ายไทยได้ย้ำถึงความจำเป็นในการลดระดับความตึงเครียด บริเวณชายแดนและเสนอให้มีการปรับกำลังทหารให้เป็นไปตามแนวทางปฏิบัติเดิมก่อนเกิดเหตุขัดแย้งเพื่อลดโอกาสการปะทะทางทหารซึ่งจะส่งผลกระทบต่อประชาชนของทางทั้งสองประเทศ

อย่างไรก็ตามเป็นที่น่าเสียดายที่กัมพูชาได้ปฏิเสธทันทีและได้มีการเสริมกำลังพื้นที่ทหารชายแดนอย่างต่อเนื่อง และปฏิเสธที่จะปฏิบัติตาม MOU ปี 2543 บนพื้นฐานการเจรจาแบบสันติวิธีซึ่งการดำเนินการดังกล่าวจะยิ่งเพิ่มความตึงเครียดและทำให้สถานการณ์ในพื้นที่มีความเปราะบางมากยิ่งขึ้นการดำเนินการของฝ่ายกัมพูชาขั้นต้นแสดงให้เห็นถึงการขาดเจตนารมย์และความจริงใจที่จะร่วมมือกับฝ่ายไทยในการที่จะลดและระงับความตึงเครียดที่มีอยู่เดิม และทำให้สถานการณ์กลับมาเป็นปกติ

ดังนั้นเป็นไปตามมติที่ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2568 และเพื่อเป็นการรักษาความมั่นคงและความปลอดภัยของประชาชน ไทยตามแนว ชายแดน ฝ่ายไทยจึง พิจารณาใช้มาตรการ มาตรการควบคุมการเปิดปิดจุดผ่านแทนไทยกัมพูชา โดยที่ประชุมสภามั่นคงแห่งชาติให้มอบหมายกองทัพภาคหนึ่ง และกองทัพภาคสอง รวมถึงกองกำลังจันทบุรี-ตราด โดยที่ประชุมได้มอบหมายให้กองทัพภาคที่ 1 และกองทัพภาค 2 เป็นผู้กำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขหรือเวลาที่จำเป็นที่เหมาะสม ในการผ่านแดนบริเวณจุดผ่านแดนทุกประเภทตามแนวชายแดนไทยกัมพูชา ซึ่งความเข้มข้นของมาตรการดังกล่าวจะเป็นไปตามระดับความตึงเครียดของสถานการณ์อันเกิดจากความร่วมมือของฝ่ายกัมพูชาในการแก้ไข ปัญหา

ขอย้ำว่าการดำเนินการของไทยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อรักษาความปลอดภัยของทั้งประชาชนของไทยและกัมพูชาในพื้นที่ชายแดนและความสงบเรียบร้อยตลอดแนวชายแดนไทยกัมพูชาโดยฝ่ายไทยจะคำนึงและระมัดระวังไม่ให้มาตรการดังกล่าวส่งผลกระทบต่อการค้าขายและความเป็นอยู่ของประชาชนทั้งสองประเทศที่อาศัยอยู่ในบริเวณดังกล่าวรวมทั้งด้านมนุษยธรรม

ฝ่ายไทยขอเรียกร้องอีกครั้งหนึ่งให้ฝ่ายกัมพูชาลดระดับความตึงเครียดตลอดแนวชายแดน เพื่อป้องกันไม่ให้สถานการณ์ลุกลามโดยไม่จำเป็น ซึ่งจะส่งผลเสียต่อประชาชนทั้งสองฝ่ายตามแนวชายแดน ฝ่ายไทยยืนยันความพร้อมที่จะใช้กลไกทวิภาคีโดยเฉพาะการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยเขตแดน JBC ไทยกัมพูชาซึ่งมีกำหนดจัดขึ้นในวันที่ 14 มิถุนายนนี้ รวมถึงกลไกทวิภาคีอื่นๆ ที่มีอยู่เพื่อหาทางออกร่วมกันอย่างสันติบนพื้นฐานของความเคารพและความจริงใจต่อกันเพื่อให้ชายแดนไทยกัมพูชากลับไปสู่ความสงบสุขเพื่อประโยชน์ของประชาชนทั้งสองประเทศ

ด้าน พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวถึงการปฎิบัติของ หน่วยงานในกองทัพบกทั้งกองทัพภาคที่ 1 และกองทัพภาคที่ 2 และการประสานกับกองบัญชาการหน่วยบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด ได้กำหนดอำนาจให้ผู้บังคับหน่วยทหารในพื้นที่กองกำลังสุรนารีและกองกำลังบูรพา มีอำนาจในการควบคุมการเปิดปิดจุดผ่านแดน

โดยการดำเนินการให้นึกถึงเรื่องผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตและกิจกรรมที่มีอยู่ในบริเวณพื้นที่ชายแดน โดยให้แต่ละหน่วยพิจารณาเรื่องขั้นตอน แบ่งออกเป็น 4 ขั้นตอนหลัก ดังนี้

ขั้นที่ 1 จำกัดการผ่านแดนเฉพาะบุคคลที่มีเหตุจำเป็น เช่น การค้าขาย การขนส่งสินค้า แรงงาน และงานจำเป็นอื่น ๆ โดยเพิ่มระดับความเข้มงวดในการตรวจสอบบุคคลที่มีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น นักพนัน หรือกลุ่มที่อาจเกี่ยวข้องกับกิจกรรมผิดกฎหมาย

ขั้นที่ 2 ปรับลดช่วงเวลาในการเปิด–ปิดจุดผ่านแดน พร้อมทั้งกำหนดวัน–เวลาการเข้า–ออกอย่างชัดเจน เพื่อควบคุมความเคลื่อนไหวของบุคคลและกิจกรรมในพื้นที่ชายแดน

ขั้นที่ 3 ปิดจุดผ่านแดนบางจุด (Selective Closure) โดยพิจารณาจากจุดที่มีความเสี่ยงสูง หรือมีข้อมูลด้านความมั่นคงที่อาจนำไปสู่การรุกล้ำ หรือการก่อเหตุจากฝ่ายตรงข้าม

ขั้นที่ 4 ปิดจุดผ่านแดนตลอดแนวชายแดนในกรณีที่เกิดสถานการณ์วิกฤติ หรือมีการรุกรานอย่างชัดเจน เพื่อควบคุมสถานการณ์ในระดับสูงสุด


คุณอาจสนใจ

Related News