เลือกตั้งและการเมือง
'ก้าวไกล' ไม่กังวลปมยุบพรรค มีแผนพร้อมรับเสมอ - 'สว.สมชาย' ชี้เป็นบทเรียนคนรุ่นใหม่ แนะเลิกเซาะกร่อน
โดย nattachat_c
13 มี.ค. 2567
15 views
วานนี้ (12 มี.ค. 67) นายอิทธิพร บุญประคอง ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เปิดเผยว่า
ที่ประชุม กกต. มีมติเอกฉันท์ เสนอเรื่องพร้อมความเห็นให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคก้าวไกล และตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรค ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา 92 และมาตรา 93
จากกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์วินิจฉัยว่า การกระทำของ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และพรรคก้าวไกล ที่เสนอแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และใช้เป็นนโยบายในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง เป็นการใช้สิทธิ หรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
โดยก่อนที่ที่ประชุมจะมีมติดังกล่าว ได้มีการพิจารณาผลการศึกษาคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญฉบับที่ ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา และความเห็นที่สำนักงาน กกต.เสนอว่าการกระทำของพรรคก้าวไกลเข้าข่ายเป็นความผิดมาตรา 92 (1) พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง 2560
-------------
มีรายงานว่า กระบวนการหลังจากนี้ ทางสำนักกฎหมายและคดีของสำนักงาน กกต. จะต้องดำเนินการยกร่างคำร้องเพื่อยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ พร้อมแนบหลักฐาน โดยเฉพาะคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 3/2567 ซึ่งประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เพื่อเป็นเอกสารประกอบคำร้อง ทั้งนี้ ตามมาตรา 93 ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 ไม่ได้กำหนดกรอบระยะเวลาดำเนินการไว้
แต่เมื่อนายทะเบียนพรรคการเมืองเสนอเรื่องพร้อมความเห็นต่อที่ประชุม กกต.และที่ประชุมมีมติเรียบร้อยแล้วนั้น ตามกระบวนการต้องดำเนินการโดยเร็ว อีกทั้งคดีนี้ไม่มีข้อกฎหมายซับซ้อน เนื่องจากเป็นการพิจารณาผลการศึกษาจากคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ
ดังนั้น เมื่อยกร่างคำร้องเสร็จสิ้นก็สามารถยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยได้ทันที คาดว่าเร็วสุดจะใช้เวลายกร่างคำร้องไม่เกิน 2 วัน หรือไม่ช้าไปกว่าหนึ่งสัปดาห์ ก่อนที่จะยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยยุบพรรคต่อไป
-------------
วานนี้ (12 มี.ค.67) ที่รัฐสภา นายสมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ให้สัมภาษณ์กรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีมติส่งคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคก้าวไกล ในคดีล้มล้างการปกครอง โดยระบุว่า ถือว่า กกต. ได้ทำหน้าที่แล้ว หลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยคดีนำเสนอนโยบายแก้ไข ม.112 เป็นการล้มล้างการปกครองมาประมาณเดือนเศษ
จากการสอบถามในที่ประชุมคณะกรรมาธิการพัฒนาการเมืองและการมีส่วนร่วมของประชาชน วุฒิสภา กกต.ชี้แจงว่า ต้องรอประกาศคำวินิจฉัยแบบเป็นทางการในราชกิจจานุเบกษา
และวานนี้ กกต. ก็เดินตาม พ.ร.ป.พรรคการเมือง ม.92(1) ซึ่งก็ชัดเจนว่าให้เสนอต่อศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคการเมือง
“กกต. ได้ปฎิบัติหน้าที่โดยการส่งคำร้องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ โดยมอบหมายให้เลขา กกต. ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมืองเป็นผู้ดำเนินการ อันนี้ถือว่าทำถูกต้องตามกฎหมายทุกประการ เพราะ กกต. ไม่ได้มีหน้าที่วินิจฉัยหรือไต่สวนใด ๆ เพิ่มเติมอีก
เพราะคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ถือเป็นผลผูกพันคณะรัฐมนตรี องค์กรอิสระ ศาล ซึ่งรวมถึง กกต.ด้วย ตอนนี้ชัดเจนว่า ผู้ถูกร้องคือ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และพรรคก้าวไกล กระทำการใช้สิทธิเสรีภาพล้มล้างการปกครองระบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เพราะฉะนั้นเข้า ม.92(1)”
นายสมชาย กล่าวต่อว่า ในความเห็นของตนมีอย่างเดียว คือ ยุบพรรคก้าวไกล และตัดสิทธิทางการเมืองนายพิธาและกรรมการบริหารพรรค 10 ปี หลังจากนี้จะมีเวลาให้สมาชิกที่อยู่ในพรรคก้าวไกลย้ายไปอยู่พรรคใหม่
“ผมคิดว่าสังคมไทยต้องเรียนรู้ว่าการเมืองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของประเทศ ไม่ใช่การใช้สิทธิเสรีภาพตามใจชอบ เรามีกรอบ เรามีกติการ่วมกัน
ต้องเรียนฝากไปว่าบทเรียนทางการเมืองของคนรุ่นใหม่ ตั้งแต่พรรคอนาคตใหม่มายันพรรคก้าวไกล บทเรียนของคนที่เลือกพรรคก้าวไกล ผมว่าเลิกเถอะครับ เรื่องวิธีคิดในการกร่อนเซาะบ่อนทำลาย หรือเลิกวิธีคิดว่า สถาบันพระมหากษัตริย์มีปัญหา อย่างที่พวกคุณกำลังทำอยู่ จนทำให้เสียเวลากับสังคม ในการสร้างความขัดแย้ง
ทำไมไม่ใช้ความเป็นคนรุ่นใหม่ ที่อย่างไรก็ส่งให้พวกคุณดูแล ทำหน้าที่ในฐานะฝ่ายการเมืองตัวแทนของประชาชน ในการสร้างประเทศขึ้นมาร่วมกันกับคนรุ่นเก่า ร่วมกันกับสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ นำความรู้นวัตกรรมใหม่ ๆ ความตั้งใจมาสร้างประเทศ”
นายสมชาย ระบุว่า ตนเสียดายอุดมการณ์ และจุดยืนของพรรคอนาคตใหม่ และก้าวไกล 2 ครั้งที่ผ่านมา เป็นบทเรียนว่าต้องเปลี่ยน ถ้าไม่เปลี่ยนต่อให้ตั้งเป็นชื่อพรรคใหม่แล้วเดินแบบเดิม ก็ต้องถูกยุบอีก เพราะฉะนั้น ตนกำลังจะบอกว่าสิ่งที่เดินอยู่มันเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพที่ผิดทางและมิชอบ
“พรรคก้าวไกล และผู้สนับสนุนปรับปรุงวิธีคิดใหม่ แล้วเราร่วมกันทำงานเพื่อประเทศชาติ เพื่อสังคมได้ โดยเอาผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก แล้วเดินไปด้วยระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ผมยินดีสนับสนุนหมดเลย อยากเห็นคนรุ่นใหม่มาแทนคนรุ่นเก่า” นายสมชาย กล่าว
-------------
วานนี้ (12 มี.ค. 67) ที่รัฐสภา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศการประชุม สส.พรรคก้าวไกลประจำสัปดาห์ ภายหลัง กกต.มีมติส่งคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคก้าวไกล ในคดีล้มล้างการปกครอง ยังมี สส.เข้าประชุมกันตามปกติ โดยมีประธานการประชุมเป็น นายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรค และ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคได้เข้าร่วมประชุมด้วย
ซึ่งการประชุมเริ่มขึ้นตั้งแต่เวลา 13.00 น. เป็นวาระการติวเข้มการทำงานในสภา เช่น การหารือ การตั้งกระทู้ถามรัฐมนตรี โดยไม่มีการพูดคุยถึงเรื่องการยุบพรรคแต่อย่างใด
ขณะที่ สส.ส่วนใหญ่ มีท่าทีสีหน้าปกติ ไม่ได้ตกใจต่อมติ กกต.
-------------
วานนี้ (12 มี.ค. 67) เวลา 13.00 น. ที่รัฐสภา มีการประชุม สส.พรรคก้าวไกลประจำสัปดาห์ มีนายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรค เป็นประธานการประชุม และมีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค เข้าร่วมประชุมด้วย โดยมี สส.เข้าร่วมอย่างคึกคัก ท่ามกลางกระแสข่าว กกต.มีมติส่งคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคก้าวไกล
เวลา 17.45 น. นายณัฐวุฒิ บัวประทุม สส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะรองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ ว่า
ที่ประชุมไม่มีการพูดกันถึงเรื่องยุบพรรค แต่มีการแจ้งข่าวที่ กกต.ส่งเรื่องไปที่ศาลรัฐธรรมนูญ ไม่มีประชุมเชิงรายละเอียด แต่สื่อสารกับสมาชิกให้เข้าใจว่า เรายังมุ่งมั่นทำงานต่อ พร้อมสู้ทุกประเด็น และไม่มีความกังวลประเด็นยุบพรรค
ขณะที่เรื่องการเตรียมความพร้อมคดียุบพรรคจริง ๆ นั้น ไม่ได้เหนือไปกว่าที่คาดการณ์ไว้ กกต.ใช้วิธีการว่า มีมติเป็นเอกฉันท์ คงต้องให้ท่านอธิบายต่อสังคมต่อไปว่า มติเอกฉันท์นั้นหมายถึงอย่างไร เหตุและผลการดำเนินการเป็นอย่างไร
นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า อย่าลืมว่าเรื่องยุบพรรคเป็นเรื่องสำคัญ และขัดต่อเจตจำนงของประชาชนที่ก่อตั้งพรรคกันขึ้นมา ต้องมีเหตุและผล จะอาศัยเพียงแต่คำวินิจฉัยศาลอย่างเดียวในการตีความไม่ได้
เรามีประสบการณ์ครั้งยุบอนาคตใหม่มาแล้ว วันนั้นเราอาจจะยังเห็นภาพไม่ชัดมากนัก ว่ามันจะเกิดขึ้นเพราะเจตจำนงทางการเมืองได้จริงหรือ กับการยุบพรรค
แต่วันนี้เราเห็นชัดขึ้นว่า จริง ๆ แล้วการยุบพรรคหลายครั้ง อาจไม่ได้ขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงของการวินิจฉัย แต่ขึ้นอยู่กับว่า ผู้มีอำนาจ ณ ขณะใดๆ กังวลหรือกลัวอำนาจทางการเมืองที่ขึ้นมาอย่างไรมากกว่า
คงดูว่า ขั้นตอนของศาลหลังจากที่ กกต.ส่งไปแล้ว ศาลจะว่าอย่างไร เร็วไปที่จะคาดการณ์ แต่เราก็มีมุมที่จะอธิบายเพิ่มเติมว่า คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะตัวคำวินิจฉัยช่วงท้าย ๆ อย่าดูแต่เพียงข้อความทั้งหมด ต้องดูด้วยว่า ศาลสั่ง หรือวินิจฉัยอย่างไร เราก็คงต้องมาโต้แย้ง ด้วยความที่เหตุและผล ที่ไม่เห็นด้วย
--------------
นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะโฆษกพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์กรณีคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีมติส่งสำนวนยุบพรรคก้าวไกล ต่อศาลรัฐธรรมนูญแล้ว ทางพรรคก้าวไกลเตรียมความพร้อมไว้อย่างไร
นายพริษฐ์ ระบุว่า พรรคก้าวไกล และทีมกฎหมายได้เตรียมความพร้อมไว้อยู่แล้ว ซึ่งมีประเด็นสำคัญ คือ ไม่อยากให้ด่วนสรุปว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร ทีมกฎหมายจะทำงานอย่างเต็มที่ เพื่อพิสูจน์ความถูกต้องไม่ให้เกิดการยุบพรรค และการต่อสู้เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์
ประเด็นนี้ไม่ได้มีความสำคัญเพียงแค่ชะตากรรม และอนาคตของพรรคก้าวไกลเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการพยายามพิสูจน์ ว่าสิ่งที่พรรคทำไปไม่ใช่สิ่งที่ผิด หากเราทำได้จะสร้างบรรทัดฐานที่ถูกต้องสำหรับการเมืองไทยในอนาคต
นายพริษฐ์ กล่าวว่า ทางพรรคเองเข้าใจดี การถูกยุบพรรคเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นหลายครั้งกับหลายพรรค เราไม่อยากให้พรรคการเมืองถูกยุบเป็นเรื่องปกติ ที่พูดเช่นนี้ไม่ใช่เพราะเป็นพรรคที่มีคดีถูกยุบพรรคอยู่ อย่างกรณีพรรคภูมิใจไทยที่สังคมความสนใจอยู่ แม้จะมี สส.พรรคก้าวไกลเป็นผู้เปิดโปงเรื่องของการทุจริตที่เกิดขึ้นกับการบริหารพรรค แต่บทลงโทษที่เหมาะสมคงไม่ใช่การยุบพรรค ควรลงโทษที่ผู้บริหารพรรค
เมื่อถามว่า มีการสร้างพรรคสำรองไว้หรือไม่นั้น
นายพริษฐ์ กล่าวว่า เรามีการรับมือ และวางแผนทุกฉากทัศน์อยู่แล้ว แต่อย่าเพิ่งด่วนพูดถึงสิ่งที่อาจจะยังไม่เกิดขึ้น ตอนนี้ ทำเต็มที่ในการพิสูจน์ความจริงเท่าที่จะทำได้ จนถึงวันที่จะเกิดการวินิจฉัยคำตัดสินออกมา สส. และทีมงานของพรรคก็ยังทำงานเต็มที่ในการผลักดันกฎหมายความเปลี่ยนแปลงผ่านกลไกสภาผู้แทนราษฎร แต่ทางผู้บริหารพรรค ได้เตรียมการรับมือทุกสถานการณ์หรือไม่นั้น ก็ต้องตอบว่ามีแน่นอน
นายพริษฐ์ ยังกล่าวว่า เรามีการวางแผนทุกฉากทัศน์ ตนยืนยันเหมือนที่ได้ยืนยันทุกครั้ง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นทุกความคิด ทุกนโยบาย ที่เราพยายามจะผลักดัน อย่างไรก็ตาม เราก็ต้องมียานพาหนะที่ขับเคลื่อนชุดความคิดต่อไปในการเมืองไทยแน่นอน ไม่อยากให้เราด่วนสรุป ว่าพรรคก้าวไกลจะถูกยุบ จนกระทั่งมีคำวินิจฉัยศาลออกมา แต่สำคัญกว่านั้น ก็ไม่อยากให้เราตั้งค่านิยม การยุบพรรคเป็นเรื่องปกติ ไม่ว่าจะพรรคใดก็ตาม
เมื่อถามว่ากังวลหรือไม่ลูกพรรคจะเสียขวัญ เพราะที่ผ่านมาเมื่อมีเหตุการณ์ยุบพรรค ก็มีสถานการณ์ผึ้งแตกรัง
นายพริษฐ์กล่าวว่า สิ่งที่เรากังวลมากกว่า คือ ผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อค่านิยมของการเมืองไทย ถ้าพูดถึงขวัญกำลังใจ หรือความทุ่มเทของสมาชิกพรรค ตนคิดว่าเราเดินหน้าต่อเต็มที่อยู่แล้ว
"สิ่งที่เรากังวลมากกว่า คือเรื่องผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อค่านิยมของการเมืองไทย เพราะยิ่งมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น ไม่ใช่แค่กับพรรคก้าวไกล แต่เป็นพรรคการเมืองในอดีตด้วย กลายเป็นว่าเรากำลังไปสร้างค่านิยม หรือวัฒนธรรมทางการเมือง ที่การยุบพรรคกลายเป็นเรื่องปกติ ทั้งที่เราควรจะสร้างนิเวศทางการเมือง ที่ทุกพรรคการเมืองสามารถเติบโตเป็นสถาบันการเมืองได้ ไม่ได้ยึดที่ตัวบุคคลใดบุคคลหนึ่ เป็นศูนย์รวมคนที่มีชุดความคิดแบบเดียวกัน"
เมื่อถามว่ามั่นใจหรือไม่ว่า จะจับมือกันแน่นไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น นายพริษฐ์ กล่าวว่า ตนมั่นใจ ว่าคนที่ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น สส. มี 2 อย่างที่เราเห็นตรงกัน คือ อยากเปลี่ยนแปลงสังคม และสภาวะนิติสงครามไม่ควรเกิดขึ้น ซึ่งแม้เราจะไม่เห็นด้วย แต่ก็ไม่ได้เกินจินตนาการ ตนมั่นใจว่าเราจะเดินหน้าต่อไปอย่างมีเอกภาพ
เมื่อถามว่าในช่วงที่มีความอ่อนไหว จะไม่มี สส.ย้ายพรรคหรือไม่
นายพริษฐ์ กล่าวว่า ตนมั่นใจว่าทุกคนที่มาสมัครเข้าพรรค ถูกกลั่นกรองโดยคณะกรรมการสรรหามีชุดความคิดตรงกัน และมีเอกภาพในการขับเคลื่อนชุดความคิดให้เป็นจริง ตัวอย่างเช่น การทำหน้าที่ฝ่ายค้าน ถ้าใครที่ติดตามการประชุมสภา จะเห็นว่าทุกสัปดาห์มีกฎหมายที่ถูกเสนอโดย สส.พรรคก้าวไกล อย่างน้อย 1 ฉบับ ซึ่งถือเป็นผลลัพธ์ ตนมองว่าเป็นมิติใหม่ของการทำหน้าที่ฝ่ายค้าน ขณะเดียวกันก็มีการตรวจสอบรัฐบาล ซึ่งจะเป็นการดึงหรือบีบรัฐบาลให้ความสำคัญกับวาระที่เรามองว่าสำคัญ
เมื่อถามว่า คดียุบพรรค จะทำให้เสียสมาธิในการตรวจสอบรัฐบาลหรือไม่
นายพริษฐ์ กล่าวว่า ไม่เสียสมาธิแน่นอน ตั้งแต่เริ่มทำงานสภาชุดนี้มา พรรคไกลก็เดินคู่ขนานอยู่แล้วทีมกฎหมายก็ทำเต็มที่ ในการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ ส่วน สส.ก็ทำงานในสภา โดยเดินหน้าต่ออย่างไม่เสียสมาธิ
ยืนยันว่าเข้มข้นเหมือนเดิม เราก็ทำงานท่ามกลางความเสี่ยงที่เรารับรู้เรื่องนี้มาโดยตลอด ที่ผ่านมาก็ไม่ได้ทำให้เสียสมาธิ
นายพริษฐ์ยังกล่าวถึง การเตรียมการอภิปรายในมาตรา 152 ว่า จะมีการเปิดให้ สส.ยื่นความจำนง ว่าจะอภิปรายในประเด็นอะไร ก่อนที่จะมีการคัดเลือก ยืนยันว่าข้อมูลค่อนข้างรอบด้าน ละเอียด ทำการบ้านล่วงหน้าแล้ว ซึ่งสส.ก็ได้มีการรวบรวมข้อมูลและทำการบ้านล่วงหน้าแล้ว
------------
รับชมผ่านยูทูบได้ที่ : https://youtu.be/e_iR7ep4eV0