เลือกตั้งและการเมือง

“บิ๊กป้อม” ยกทีมพปชร.เยี่ยมพบปะหารือ "นายกฯสปป.ลาว" กระชับความสัมพันธ์-แก้ฝุ่น PM 2.5

โดย gamonthip_s

3 มี.ค. 2567

86 views

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ร่วมเวทีพรรคพลังประชารัฐ สัญจรครั้งที่ 2 จังหวัดหนองคายเสร็จสิ้น ก็ได้เปลี่ยนเป็นชุดสูทสากลสีดำเนคไทสีม่วง ซึ่งเป็นชุดที่ 3 ของวันนี้ นั่งรถตู้โฟล์คสวาเกนสีดำหมายเลขทะเบียน นข1111 หนองคาย ข้ามสะพานมิตรภาพไทย-ลาว ผ่านด่านพรมแดนหนองคาย เพื่อไปเข้าพบนายสอนไซ สีพันดอน นายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวเป็นการส่วนตัว ที่ทำเนียบรัฐบาล ณ นครหลวงเวียงจันทน์ โดยก่อนที่ขบวนรถจะเคลื่อนผ่านด่านข้ามแดน พลเอกประวิตรได้เปิดประตูรถพร้อมโบกมือด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสให้สื่อมวลชน


เมื่อถามว่าถ้ามีโอกาสจะหาแนวทางช่วยรัฐบาลใช่หรือไม่ พลเอกประวิตร ยืนยันว่า ตนก็อยู่ในรัฐบาลนะ ก่อนที่จะย้อนสื่อว่า "คุณถามอะไรก็ไม่รู้ ผมก็อยู่รัฐบาล แล้วไปทำงานให้ใครล่ะ ก็ทำงานให้กับประเทศชาตินั่นแหละ รวมทั้งให้คุณด้วย"


สำหรับการลงพื้นที่พลังประชารัฐสัญจรครั้งที่ 2 ที่จังหวัดหนองคาย ครั้งนี้มีสส.หลายคนเข้าร่วม แต่แกนนำพรรคไม่ได้มาพร้อมเพรียง ขาดแกนนำระดับรัฐมนตรีที่ติดประชุมคณะรัฐมนตรีนัดพิเศษ โดยเฉพาะพลตำรวจเอกพัชรวาท วงษ์สุวรรณ ประธานที่ปรึกษาพรรค และร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรค มีเพียงนายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุขที่ลาประชุมเดินทางมาสมทบ


โดยพล.อ.ประวิตร ได้หารือกับนายสอนไซ สีพันดอน นายกรัฐมนตรี สปป. ลาวว่า สปป.ลาว และประเทศไทยมีความสัมพันธ์เป็นบ้านพี่เมืองน้องมาช้านาน ความร่วมมือระหว่างประเทศ ได้รับการพัฒนาให้ก้าวหน้ามาตามลำดับ โดยไทยได้ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมความร่วมมือกับสปป.ลาว ทุก ๆ ภาคส่วน มาอย่างต่อเนื่อง ในโอกาสนี้ผมขอแสดงความยินดีในการทำหน้าที่ประธานอาเซียน ของสปป.ลาวในปี 2567 นี้ โดยผมพร้อมสนับสนุนอย่างเต็มที่ จะพัฒนาความร่วมมือในทุกด้าน เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน และผลประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองประเทศ ให้เจริญก้าวหน้าต่อไป



“การเดินทางมาเยือนสปป.ลาว ของผม และผู้บริหารพรรคในครั้งนี้ นับเป็นโอกาสสำคัญยิ่งที่จะได้ร่วมหารือและแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นอันจะเป็นประโยชน์ร่วมกัน ในการพัฒนาความร่วมมือด้านการขนส่งและโลจิสติกส์ให้ก้าวหน้าต่อไปในอนาคต เพื่อรองรับการพัฒนา และการส่งเสริมด้านเกษตรกรรม การสาธารณสุข การท่องเที่ยว และการค้าในภูมิภาคในฐานะพรรคร่วมรัฐบาล พรรคพลังประชารัฐมี นโยบายสำคัญในการดูแลรักษาป่าไม้ และสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแก้ปัญหาฝุ่นควัน ซึ่งเป็นปัญหาเร่งด่วน ที่เราจะต้องร่วมมือกัน”



พล.อ.ประวิตร ยังกล่าวด้วยว่า กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมแห่งราชอาณาจักรไทย และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมสปป.ลาวได้จัดทำบันทึกความเข้าใจ ร่วมกันเพื่อส่งเสริมและพัฒนาความร่วมมือในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ทั้งการป้องกัน ควบคุมมลพิษการบริหารจัดการ ทรัพยากรน้ำและ การจัดการ สภาพภูมิอากาศ ความร่วมมือ ด้านการเปลี่ยนแปลง สภาพภูมิอากาศ ประเทศไทย และ สปป.ลาว ต่างมุ่งเน้นยกระดับการดำเนินการในการลดก๊าซเรือนกระจกโดยฝ่ายไทย ยินดีสนับสนุ และแลกเปลี่ยนเชิงนโยบายร่วมกัน อันจะเป็นประโยชน์ ให้ทั้งสองฝ่ายสามารถนำไปประยุกต์ใช้ ได้อย่างเป็นรูปธรรมต่อไป



"ในวันนี้ ผมต้องขอขอบคุณเป็นอย่างยิ่งที่ได้หารือในประเด็นต่าง ๆ ร่วมกัน และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าไทยและสปป.ลาวจะดำรงความต่อเนื่องในความร่วมมือต่อกันให้ทัังสองประเทศเจริญก้าวหน้าต่อไป"


ด้านนายสอนไซ สีพันดอน นายกรัฐมนตรี สปป.ลาว ได้กล่าวยินดีต้อนรับคณะพรรคพปชร. ที่นำโดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค ที่ได้เดินทางมาเยือนสปป.ลาวในครั้งนี้ เนื่องจากสองประเทศอยู่ติดกัน มีความเป็นพี่เป็นน้องกัน ซึ่งปัจจุบันมีนักลงทุนชาวไทยมาลงทุนในสปป.ลาวเป็นอันดับ 2 และยังคงเดินหน้าที่จะทำความร่วมมือในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ การบริการ การท่องเที่ยว คมนาคม ของทั้งสองประเทศ โดยสปป.ลาวมีแนวทางเช่นเดียวกับไทยที่จะพัฒนาสังคมสีเขียวให้เกิดขึ้น ทั้งนี้ภายใต้การกำกับดูแลพปชร.ซึ่งเป็นพรรคร่วมรัฐบาลได้บริหารราชการผ่านกลไกการทำงานของ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่ให้ความสำคัญในเรื่องนี้อย่างจริงจัง


อย่างไรก็ตามรัฐบาลสปป.ลาว พร้อมผลักดันให้เกิดขึ้นในทุกด้านอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งด้านการส่งออก และนำเข้าสินค้าเกษตร การควบคุมโรคระบาดในสัตว์ รวมถึง ปัญหาหมอกควันที่สปป.ลาวก็ประสบปัญหาเช่นเดียวกับไทย ที่ภาคการเกษตรยังมีการเผาเพื่อกำจัดวัชพืช ซึ่งถือว่าปัญหาดังกล่าว นับเป็นวาระสำคัญของทั้งสองประเทศในการ ลดปัญหา P.M 2.5 ที่เป็นทิศทางเดียวกัน และร่วมมือการแก้ไขปัญหาต่อไป



จากนั้น พล.ประวิตร พร้อมคณะได้เดินทางไปเยี่ยมชมโครงการเวียงจันทน์โลจิสติกส์พาร์คหรือ VLP มีพื้นที่ 3,000 ไร่ ตั้งอยู่ตรงข้ามกับสถานีท่าบกท่านาแล้ง นครหลวงเวียงจันทน์ ซึ่งโครงการดังกล่าวถือเป็นหุ้นส่วนความร่วมมือทางด้านธุรกิจระหว่างไทย-ลาว-จีน โดยเฉพาะการทำอุตสาหกรรมในเขตปลอดภาษีหรือฟรีโซน ซึ่งจะทำให้ภาษีนำเข้าและส่งออกเหลือร้อยละ 0 จุดนี้มีการก่อสร้างศูนย์กลางโลจิสติกส์ การค้า การลงทุน การธนาคาร ไฟแนนซ์เชียล อุตสาหกรรมเบาในเขตฟรีโซน รวมไปถึงคลังน้ำมัน



สำหรับโครงการนี้มีนักธุรกิจ ลาว จีน และไทย ร่วมลงทุน มูลค่าประมาณ 500 ล้านเหรียญดอลลาร์ เพื่อเชื่อมโยงระบบรางและโลจิสติกส์ ระหว่างไทย ลาว จีน และในกลุ่มอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงจุดแข็งของศูนย์กลางโลจิสติกส์แห่งนี้ คือ นักลงทุนที่เข้ามาทำอุตสาหกรรมเบา จะมาทำสินค้าเกษตรแปรรูปหรือบรรจุหีบห่อผลิตภัณฑ์จะได้รับสิทธิประโยชน์ทางด้านภาษีคือภาษีนำเข้าและส่งออกในกลุ่มประเทศอาเซียนเหลือร้อยละ 0 ซึ่งจะทำให้ต้นทุนการนำเข้าและส่งออกถูกลง



ทั้งนี้โครงการเวียงจันทน์โลจิสติกส์พาร์คจะใช้เวลาพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและอาคารสถานที่ ภายในระยะเวลา 1 ปี จึงจะสามารถเปิดให้นักลงทุนเข้ามาเช่าพื้นที่ ขณะนี้มีนักธุรกิจประมาณร้อยละ 40-50 สนใจที่จะทำอุตสาหกรรมเกี่ยวกับการแปรรูปสินค้าเกษตรที่เหลือจะเป็นนักลงทุนญี่ปุ่น เกาหลี และสิงคโปร์

คุณอาจสนใจ

Related News