เลือกตั้งและการเมือง
เปิดประวัติ "พิชิต ชื่นบาน" ติดโผ รมต. เศรษฐา 1
29 ส.ค. 2566
347 views
"พิชิต ชื่นบาน" ชื่อนี้ คอการเมืองรุ่นใหม่ อาจจะไม่รู้จัก แต่รุ่นเก่าหน่อยจะจำได้กับวลีที่บอกว่า “ถุงขนมสองล้าน”
พิชิต” เป็นคนใกล้ชิดตระกูล “ชินวัตร” ได้รับความไว้วางใจให้เป็นทีมทนายความสู้คดีหลายคดี โด่งดังจากกรณีที่ศาลมีคำสั่งจำคุก ในฐานะหัวหน้าทีมทนายความ “ทักษิณ ชินวัตร” กรณีหิ้วถุงขนมใส่เงินสด 2 ล้านบาท ไปมอบให้เจ้าหน้าที่ธุรการศาล ระหว่างการพิจารณาคดีที่ดินรัชดาฯ ของศาลฎีกาคดีแผนกอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จนศาลมีคำสั่งจำคุกนายพิชิต ชื่นบาน 6 เดือน ไม่รอลงอาญา ฐานละเมิดอำนาจศาล
ทำให้สภาทนายความ ก็มีมติลบชื่อ “พิชิต” ออกจากทะเบียนผู้ประกอบวิชาชีพทนายความ จากกรณีดังกล่าวทำให้ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ในฐานะทนายความได้เป็นเวลา 5 ปี
จากนั้น ได้เป็นส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และมีบทบาทอย่างแข็งขันในการสนับสนุนกฎหมายนิรโทษกรรมสุดซอย ก่อนจะเป็นชนวนการรัฐประหารปี 2557
ต่อมา “พิชิต” ยังเคยเป็นหัวหน้าทีมทนายความที่ต่อสู้คดีให้กับ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี ในศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในคดีโครงการรับจำนำข้าว แต่สุดท้าย “ยิ่งลักษณ์” โดนศาลสั่งจำคุก 5 ปี จนต้องหนีไปอยู่ต่างประเทศ
ในปี 2562 “พิชิต” กลับมาในบทบาทเป็นประธานที่ปรึกษาฝ่ายกฎหมายพรรคไทยรักษาชาติ ก่อนที่พรรคไทยรักษาชาติ จะโดนศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรค
และชื่อของเขาก็กลับมาอีกครั้ง แม้ เจ้าตัวจะโดนคำสั่งศาลให้จำคุก 6 เดือน (สั่งให้จำคุกฐานละเมิดอำนาจศาล) แต่ไม่ใช่คำพิพากษา ทำให้คุณสมบัติของ “พิชิต” ไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ
เมื่อเปิด รัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 160 กำหนดคุณสมบัติของคณะรัฐมนตรีไว้ดังนี้
1.มีสัญชาติไทยโดยการเกิด
2.มีอายุไม่ต่ำกว่าสามสิบห้าปี
3.สำเร็จการศึกษาไม่ต่ำกว่าปริญญาตรีหรือเทียบเท่า
4.มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์
5.ไม่มีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง
6.ไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 98
7.ไม่เป็นผู้ต้องคำพิพากษาให้จำคุก แม้คดีนั้นจะยังไม่ถึงที่สุด หรือมีการรอการลงโทษ เว้นแต่ในความผิดอันได้กระทำโดยประมาท ความผิดลหุโทษ หรือความผิดฐานหมิ่นประมาท
8.ไม่เป็นผู้เคยพ้นจากตำแหน่งเพราะเหตุกระทำการอันเป็นการต้องห้ามตามมาตรา 186 หรือมาตรา 187 มาแล้วยังไม่ถึงสองปีนับถึงวันแต่งตั้ง
และ มาตรา 98 แห่งรัฐธรรมนูญ 2560 บัญญัติว่า บุคคลผู้มีลักษณะดังต่อไปนี้เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
1.ติดยาเสพติดให้โทษ
2.เป็นบุคคลล้มละลายหรือเคยเป็นบุคคลล้มละลายทุจริต
3.เป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใดๆ
4.เป็นบุคคลผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิเลือกตั้งตามมาตรา 96 (1) (2) หรือ (4)
5.อยู่ระหว่างถูกระงับการใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นการชั่วคราวหรือถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง
6.ต้องคำพิพากษาให้จำคุกและถูกคุมขังอยู่โดยหมายของศาล
7.เคยได้รับโทษจำคุกโดยได้พ้นโทษมายังไม่ถึงสิบปีนับถึงวันเลือกตั้ง เว้นแต่ในความผิดอันได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ
8.เคยถูกสั่งให้พ้นจากราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจเพราะทุจริตต่อหน้าที่ หรือถือว่ากระทำการทุจริตหรือประพฤติมิชอบในวงราชการ
9.เคยต้องคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอันถึงที่สุดให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินเพราะร่ำรวยผิดปกติหรือเคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุกเพราะกระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
10.เคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดว่ากระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการหรือต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม หรือกระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ หรือความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ที่กระทำโดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา ความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน กฎหมายว่าด้วยยาเสพติดในความผิดฐานเป็นผู้ผลิต นำเข้า ส่งออก หรือผู้ค้า กฎหมายว่าด้วยการพนันในความผิดฐานเป็นเจ้ามือหรือเจ้าสำนัก กฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ หรือกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินในความผิดฐานฟอกเงิน
11.เคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดว่ากระทำการอันเป็นการทุจริตในการเลือกตั้ง
12.เป็นข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำนอกจากข้าราชการการเมือง
13.เป็นสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น
14.เป็นสมาชิกวุฒิสภาหรือเคยเป็นสมาชิกวุฒิสภาและสมาชิกภาพสิ้นสุดลงยังไม่เกินสองปี
15.เป็นพนักงานหรือลูกจ้างของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจหรือเป็นเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ
16.เป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ หรือผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ
17.อยู่ในระหว่างต้องห้ามมิให้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
18.เคยพ้นจากตำแหน่งเพราะเหตุตามมาตรา 144 หรือมาตรา 235 วรรคสาม
เมื่อศาลตัดสินจำคุกนายพิชิต 6 เดือน เมื่อปี 2551 ฐานละเมิดคำสั่งศาล ขณะที่ข้อกฎหมายมาตรา 98 ข้อ 7 และ มาตรา 160 ข้อ 7 ระบุชัด จึงสรุปได้ว่า นายพิชิต เป็นผู้มีคุณสมบัติครบถ้วนในการเป็นรัฐมนตรี เพราะรับโทษจำคุกเสร็จสิ้นมานานกว่า 15 ปีแล้ว ละเมิดอำนาจศาล ไม่ใช่ความผิดอาญา
ยังไม่สิ้นสงสัยเสียทีเดียว เมื่อเห็นว่าหลังจากถูกศาลสั่งจำคุก 6 เดือนเมื่อปี 2551 แต่ต่อมาในปี 2554 กลับพบชื่อ นายพิชิต ติดรายชื่อ สส.บัญชีรายชื่อ เพื่อไทย เมื่อย้อนกลับไปที่ มาตรา 98 อีกครั้ง พบว่าตั้งแต่ ข้อ 9-11 ไม่มีคำพิพากษาใดที่เข้ากับคำสั่งศาลคดีติดสินบนศาลเลย
ประกอบกับข้อมูลจาก ศูนย์ข้อมูลกฎหมายกลาง ระบุว่า ตาม มาตรา 32 และ มาตรา 33 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง การกระทำละเมิดอำนาจศาลเป็นเพียงการกระทำละเมิดต่ออำนาจและหน้าที่ของศาลในการดำเนินกระบวนพิจารณาและรักษาความเรียบร้อยในบริเวณศาล อันเป็นมาตราการวิธีสบัญญัติเท่านั้น และการดำเนินกระบวนพิจารณาและการรักษาความเรียบร้อยในบริเวณศาล ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาในคดีแพ่งหรือคดีอาญา หรือการรักษาความสงบเรียบร้อย ในบริเวณศาลในคดีแพ่งหรือคดีอาญา ก็มิใช่เป็นความผิดในทางอาญาอย่างใด
ฉะนั้น การกระทำละเมิดอำนาจศาลจึงมิใช่ความผิดอาญา แต่เป็นเพียงการละเมิดอำนาจและหน้าที่ของศาลเกี่ยวกับการพิจารณาคดีและการรักษาความเรียบร้อย ซึ่งเป็นอำนาจและหน้าที่พิเศษ โดยเฉพาะของศาลเท่านั้น แต่ที่ต้องมีโทษอยู่ด้วยก็เพื่อให้อำนาจและหน้าที่ของศาลดังกล่าวบรรลุผล
อีกทั้งมีหลักกฎหมายว่า ผู้กระทำความผิดอาญาจะถูกลงโทษสองครั้งในการกระทำความผิดเดียวกันนั้นอีกมิได้ ถ้าถือว่าการละเมิดศาลเป็นการกระทำความผิดอาญาแล้ว หากศาลพิพากษาลงโทษผู้กระทำการละเมิดอำนาจศาลแล้ว ก็จะฟ้องผู้กระทำการละเมิดอำนาจศาล ให้ถูกลงโทษในการกระทำละเมิดอำนาจศาลนั้นอีกมิได้ เพราะเป็นการกระทำความผิดอาญาที่ผู้กระทำได้รับโทษมาแล้ว (คำพิพากษาฎีกาที่ 1142/2516 และ 2302/2523)
เท่ากับว่าสิ้นข้อสงสัยในทุกข้อครหาคลางแคลงใจในการนั่งตำแหน่ง รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ของนายพิชิต ชื่นบาน และตอกย้ำด้วยคำสัมภาษณ์จากว่าที่ มท.1 นายอนุทิน ชาญวีรกูล ที่ระบุถึงคุณสมบัติ-ข้อห้ามของผู้ที่จะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ไว้ว่า
รัฐมนตรีมีคุณสมบัติต้องทุ่มเท ต้องเสียสละ ต้องเป็นคนที่ไม่มีประวัติด่างพร้อยอยู่แล้ว
แท็กที่เกี่ยวข้อง ข่าวการเมือง ,พิชิตชื่นบาน ,ทักษิณชินวัตร