เลือกตั้งและการเมือง

'ชูวิทย์' หยัน แพ้อีกแล้ว! หลังศาลยกคำร้องป่วนเวทีปราศรัย ภท. ก่อนชวนลูกสาววิ่งต้านกัญชา

โดย nattachat_c

12 พ.ค. 2566

2.2K views

วานนี้ (11 พ.ค. 66) นางสาวณัฐชนิกานต์ เกตุคำขวา และนายพิชัย เอี่ยมอ่อน ทนายความ ผู้รับมอบอำนาจจากนายศุภชัย ใจสมุทร ผู้บริหารพรรคภูมิใจไทย เดินทางมายังศาลแพ่งเพื่อยื่นฟ้อง นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง คดีละเมิดและจงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเข้าใจผิดในคะแนนนิยมของผู้สมัครหรือพรรคภูิใจไทย ทำให้คะแนนนิยมพรรคภูมิใจไทยลดลง เป็นไปในทางลบ เรียกค่าเสียหาย 100 ล้านบาท


พร้อมขอให้ศาลไต่สวนฉุกเฉิน เพื่อมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ห้ามนายชูวิทย์เข้าอาคาร โชว์ ดีซี ในวันที่ 12 พฤษภาคมนี้ เวลา 13.00 -19.00 น. ซึ่งเป็นสถานที่จัดการปราศัยใหญ่ของพรรคภูมิใจไทยโดยเด็ดขาด และห้ามก่อกวนใกล้พรรคหรือสถานที่หาเสียงใหญ่ของพรรค จนถึงวันเลือกตั้ง


ทีมทนาย เปิดเผยว่า การร้องเรียกค่าเสียหายครั้งนี้ สืบเนื่องมาจาก นายชูวิทย์ ไปละเมิด ข่มขู่คุกคามพรรค เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม ที่โดมข้าง สน.ดินแดง ซึ่งค่าเสียหาย 100 ล้านบาท คำนวนจากงบประมาณการหาเสียงของ ส.ส.ทั่วประเทศ 400 เขต เขตละ 1.9 ล้านบาท โดยศาลรับคำฟ้องแล้ว และนัดสืบพยานครั้งแรก ในวันที่ 3 กรกฎาคม นี้ เบื้องต้น ทางทีมทนายความได้ยื่นเรื่องดังกล่าวไปแล้ว และจะมีการพิจารณาไต่สวนฉุกเฉิน ในเวลา 13.30 น. นี้


นอกจากนี้ นายพิชัย ยังบอกอีกว่า นายชูวิทย์ยังสามารถจะจัดแถลงข่าว หรือให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อมวลชนที่อื่น หรือผ่านทางสื่อออนไลน์ทางใดก็ตาม สามารถกระทำได้ตามสิทธิและกรอบกฎหมาย เพียงขอให้ไม่อยู่ภายในรัศมีที่พรรคจะจัดการปราศัยเท่านั้น เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นที่ผ่านมา พร้อมยืนยันว่า การมาฟ้องและขอให้ศาลไต่สวนคำร้องในครั้งนี้ มีรายละเอียดพฤติกรรมที่แตกต่างไปจากที่พรรคเคยยื่นขอให้ศาลมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวเมื่อคราวก่อน มีข้อเท็จจริงที่แตกต่างกัน และเป็นการกระทำต่างกรรมต่างวาระ จึงสามารถยื่นคำร้องได้

-------------

วานนี้ (วันที่ 11 พ.ค.) ที่ศาลแพ่ง ถ.รัชดาภิเษก กรณีที่พรรคภูมิใจไทย เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ จำเลย ต่อศาลแพ่งเรื่องละเมิด พร้อมเรียกค่าเสียหาย ในคดีหมายเลขดำที่ พ.2376/2566


โดยกล่าวหาว่าจำเลยกระทำการละเมิดต่อโจทก์ ทำให้โจทก์เสียหายแก่เสรีภาพ เสียหายต่อทรัพย์สิน เสียหายแก่สิทธิในชื่อเสียงหรือ เกียรติคุณหรือทางเจริญของโจทก์ เพื่อให้โจทก์ได้รับความเสียหาย และตัดทอนคะแนนนิยมในการหาเสียง โดยชอบด้วยกฎหมาย และยื่นคำร้องให้ศาลมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวในระหว่างพิจารณาเป็นกรณีฉุกเฉิน ห้ามมิให้จําเลยเข้าใกล้บริเวณสถานที่หาเสียงปราศรัยของโจทก์


และห้ามมิให้จำเลยกล่าว แถลงข่าวหรือพูด แสดงความคิดเห็นถึงโจทก์ และผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของโจทก์ ไม่ว่าด้วยวิธีการใดๆ ในลักษณะ ทํานองเดียวกับที่ถูกฟ้อง และไม่ว่าจะแสดงออกทางภาพ เสียงคลิป ข้อความ ป้ายโฆษณา สื่อสิ่งพิมพ์ สื่อ อิเล็กทรอนิกส์ หรือสื่อโซเชียลใดๆ หรือขึ้นเวทีต่างๆ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปจนกว่าจะพ้นวันเลือกตั้ง


ทั้งนี้ ศาลพิเคราะห์คำร้องแล้ว เห็นว่า ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๖๐ มาตรา ๒๕ บุคคลย่อมมีสิทธิเสรีภาพที่จะทำการใดๆ ตราบเท่าที่ไม่ละเมิดสิทธิเสรีภาพของบุคคล นอกจากนี้ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 ยังรับรองเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น เสรีภาพในการ เดินทาง และเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธจำเลยย่อมมีสิทธิที่จะแสดงความคิดเห็น และเดินทางเพื่อเข้าฟังการปราศรัยที่จัดขึ้นเป็นสาธารณะได้ การห้ามมิให้จำเลยเข้าใกล้บริเวณที่หาเสียงปราศรัย ของโจทก์จึงเป็นการจำกัดเสรีภาพของจำเลยเกินสมควร


ทั้งยังไม่แน่ว่าจำเลยจะเข้าไปบริเวณพื้นที่หาเสียง ปราศรัยของโจทก์ในวันที่ 12 พ.ค. 2566 และกระทำการก่อความวุ่นวายหรือไม่ หากจำเลยมี พฤติการณ์ที่จะก่อความวุ่นวายหรือเป็นการใช้เสรีภาพเกินขอบเขตจนกระทบต่อเสรีภาพหรือความปลอดภัย ของบุคคลอื่น ถึงขั้นที่เป็นการละเมิดกฎหมายการกระทำของจำเลยย่อมเป็นความผิดที่มีโทษทางอาญา และโจทก์สามารถที่จะดำเนินการตามกฎหมายกับจำเลยเพื่อระงับความเสียหายได้อยู่แล้ว จึงยังไม่สมควรที่จะมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวให้


ในส่วนคำขอให้ศาลมีคำสั่งห้ามมิให้จำเลยกล่าว แถลงข่าว หรือพูดแสดงความคิดเห็นถึงโจทก์ และผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของโจทก์นั้น เป็นคำขอที่มีลักษณะห้ามมิให้จำเลยกล่าวหรือไขข่าวถึงเรื่องตามฟ้อง อันเป็นการจำกัดสิทธิเสรีภาพของบุคคลในการแสดงความคิดเห็น การพูดการเขียน การพิมพ์ การโฆษณาและสื่อความหมายโดยวิธีอื่น อันมีลักษณะเป็นการทั่วไปต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 มาตรา 34


ซึ่งเป็นการไม่แน่นอนว่าจำเลยจะได้กล่าวอ้างหรือพูดแสดงข้อความอันเป็นเท็จอันเป็นการใส่ความโจทก์หรือไม่ หากพิสูจน์ได้ว่าเป็นการกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลายข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริง จำเลยย่อมจะต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนต่อโจทก์ตามที่โจทก์ฟ้องอยู่แล้ว


อีกทั้ง ข้อความที่โจทก์อ้างว่าจำเลยกล่าวหรือไขข่าวตามฟ้องนั้นยังไม่แน่ชัดว่าเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ ซึ่งประชาชนโดยทั่วไปย่อมมีวิจารณญาณว่าสมควรเลือกผู้สมัครจากพรรคการเมืองโจทก์หรือไม่ การจะสั่งห้ามจําเลยมิให้กระทำการใดในอนาคตที่ยังไม่แน่นอนว่าเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ ย่อมเป็นการจำกัดสิทธิเสรีภาพของจำเลยเกินสมควร กรณี ยังไม่สมควรที่จะมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวให้ยกคำร้อง

-------------

วานนี้ (11 พ.ค. 66) นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมืองชื่อดัง โพสต์ข้อความระบุว่า ศาลแพ่ง ยกคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราว ‘พรรคภูมิใจไทย’ ห้าม ‘ชูวิทย์’ ป่วนเวทีปราศรัยใหญ่ ชี้เป็นการจำกัดสิทธ์เกินสมควร


ศาลท่านเห็นว่า ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 มาตรา 25 บุคคลย่อมมีสิทธิเสรีภาพที่จะทำการใดๆ ตราบเท่าที่ไม่ละเมิดสิทธิเสรีภาพของบุคคล นอกจากนี้ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 ยังรับรองเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น เสรีภาพในการ เดินทาง และเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธจำเลยย่อมมีสิทธิที่จะแสดงความคิดเห็นและ เดินทางเพื่อเข้าฟังการปราศรัยที่จัดขึ้นเป็นสาธารณะได้


การห้ามมิให้จำเลยเข้าใกล้บริเวณที่หาเสียงปราศรัย ของโจทก์จึงเป็นการจำกัดเสรีภาพของจำเลยเกินสมควร ทั้งยังไม่แน่ว่าจำเลยจะเข้าไปบริเวณพื้นที่หาเสียง ปราศรัยของโจทก์ในวันที่ 12 พ.ค. 2566 และกระทำการก่อความวุ่นวายหรือไม่ หากจำเลยมี พฤติการณ์ที่จะก่อความวุ่นวายหรือเป็นการใช้เสรีภาพเกินขอบเขตจนกระทบต่อเสรีภาพหรือความปลอดภัย ของบุคคลอื่น ถึงขั้นที่เป็นการละเมิดกฎหมายการกระทำของจำเลยย่อมเป็นความผิดที่มีโทษทางอาญา และโจทก์สามารถที่จะดำเนินการตามกฎหมายกับจำเลยเพื่อระงับความเสียหายได้อยู่แล้ว จึงยังไม่สมควรที่จะมี คำสั่งคุ้มครองชั่วคราวให้


แสดงความคิดเห็นถึงโจทก์ และผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของโจทก์นั้น เป็นคำขอที่มีลักษณะห้ามมิให้จำเลยกล่าวหรือไขข่าวถึงเรื่องตามฟ้องอันเป็นการจำกัดสิทธิเสรีภาพของบุคคลในการแสดงความคิดเห็น การพูดการเขียน การพิมพ์ การโฆษณาและสื่อความหมายโดยวิธีอื่น อันมีลักษณะเป็นการทั่วไปต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 มาตรา 34 ซึ่งเป็นการไม่แน่นอนว่าจำเลยจะได้กล่าวอ้างหรือพูดแสดงข้อความอันเป็นเท็จอันเป็นการใส่ความโจทก์หรือไม่ หากพิสูจน์ได้ว่าเป็นการกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลายข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริง จำเลยย่อมจะต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนต่อโจทก์ตามที่โจทก์ฟ้องอยู่ แล้ว


อีกทั้งข้อความที่โจทก์อ้างว่าจำเลยกล่าวหรือไขข่าวตามฟ้องนั้นยังไม่แน่ชัดว่าเป็นการกระทำละเมิดต่อ โจทก์หรือไม่ ซึ่งประชาชนโดยทั่วไปย่อมมีวิจารณญาณว่าสมควรเลือกผู้สมัครจากพรรคการเมืองโจทก์หรือไม่ การจะสั่งห้ามจําเลยมิให้กระทำการใดในอนาคตที่ยังไม่แน่นอนว่าเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ ย่อม เป็นการจำกัดสิทธิเสรีภาพของจำเลยเกินสมควร กรณียังไม่สมควรที่จะมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวให้ยกคำร้อง

-------------

วานนี้ (11 พ.ค. 66) เวลา 17.00 น. นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง และนักเคลื่อนไหว เดินหน้ารณรงค์ต่อต้านกัญชาเสรี โดยในวันนี้ เป็นการวิ่งต่อต้านกัญชาเสรีจัดกิจกรรมวิ่งต่อต้านกัญชาเสรี “วิ่งไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงชัยชนะ” โดยเริ่มต้นที่สวนลุมพินี ก่อนจะวิ่งไปยังอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ และสิ้นสุดที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ระยะทางรวม 10 กิโล โดยการวิ่งครั้งนี้มีนางสาวตระการตา กมวิศษฎ์ ลูกสาวของนายชูวิทย์ มาร่วมวิ่งด้วย


นายชูวิทย์ กล่าวว่า ตนมีอายุ 60 กว่าปีแล้ว ลุกขึ้นมาวิ่งต่อต้านกัญชาเสรี เพื่อสะท้อนเจตนาบริสุทธิ์ของประชาชนที่ต้องการให้บทเรียนกับพรรคการเมือง ที่ขยันออกนโยบาย และกระทบสิทธิ์ของพลเมืองอย่างตน ซึ่งทุกคนมีสิทธิ์ตนจึงจำเป็นต้องใช้สิทธิ์เพื่อเป็นบทเรียนแก่พรรคภูมิใจไทย ที่ออกนโยบายกัญชาเสรีสร้างผลกระทบต่อชุมชน


เมื่อวิ่งมาถึงอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ซึ่งเป็นจุดพักแรกนายชูวิทย์ได้พบปะ แวะทักทาย ประชาชน พร้อมพูดต้านกัญชาเสรีเล็กน้อย เช่นว่า กัญชาเสรีมอมเมาเยาวชน จากนั้นนายชูวิทย์ออกวิ่งต่อ


ช่วงหนึ่ง ก่อนจะมาถึงอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย นายชูวิทย์วิ่งผ่านป้ายหาเสียงของพรรคภูมิใจไทยที่มีรูปของนายอนุทิน นายชูวิทย์หยุดชะงัก ก่อนจะชกเข้าไปที่ป้ายของนายอนุทิน พร้อมกันนี้บางป้ายยังพบด้วยว่า นายชูวิทย์เดินเข้าไปทำท่าสั่งน้ำมูก พร้อมแลบลิ้นใส่ป้ายนายอนุทิน แต่ว่าไม่ได้พูดอะไร ก่อนจะออกวิ่งต่อไป


จากนั้น เวลาประมาณ 18.40 น. นายชูวิทย์วิ่งมาถึงเป้าหมาย ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย คลุมธงชาติไทย พร้อมโชว์ป้ายไวนิลข้อความระบุว่า “เส้นชัยต่อต้านกัญชาเสรี”


จากนั้น นายชูวิทย์กล่าวว่า การวิ่งต้อต้านกัญชาเสรีเป็นไปด้วยดี ในระยะเวลาที่วิ่งนั้น และวิ่ง และสิ่งที่ตนทำ ซึ่งตนอายุ 60 กว่าแล้ว ยังคงสามารถวิ่งได้ และไม่ต้องพึ่งหรือใช้ยาใดๆ ก่อนจะแนะนำรัฐบาลสมัยหน้าว่า “กีฬาคือยาวิเศษ ไม่ใช่กัญชา”


พร้อมกันนี้ นายชูวิทย์ ยังย้ำอีกครั้งว่า ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพในการวิพากษ์วิจารณ์นโยบายสาธารณะของพรรคการเมืองที่นำมาใช้กับประชาชน


สำหรับภารจกิจของตนใกล้จบลงแล้ว ในวันอาทิตย์ที่ 14 พ.ค.นี้ และจากนั้นก็จะเป็นช่วงของการจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งตนจะยังคงรณรณ์ต่อไป เพื่อไม่ให้พรรคภูมิใจไทยได้กลับมาเป็นรัฐบาล เหตุผลเพราะพรรคภูมิใจไทยทำร้ายสังคม ปกติหน้าที่ของกระทรวงสาธารณะสุขจะมีหน้าที่ดูและสุขภาพของประชาชน ไม่ใช่มีหน้าที่มอมเมา

-------------

ขณะเดียวกัน ช่วงเช้าวานนี้ (11 พ.ค. 66) พรรคภูมิใจไทยยื่นฟ้องนายชูวิทย์ 100 ล้าน กรณีข่มขู่คุกคามพรรค พร้อมขอศาลไต่สวนฉุกเฉิน ห้ามนายชูวิทย์ เข้าโชว์ ดีซี วันพรรคจัดปราศรัยใหญ่เด็ดขาด และห้ามก่อกวนใกล้พรรค หรือสถานที่หาเสียงใหญ่ของพรรค จนถึงวันเลือกตั้ง ก่อนที่ศาลแพ่งจะยกคำร้อง ขอคุ้มครองชั่วคราวพรรคภูมิใจไทยห้ามนายชูวิทย์ ป่วนเวทีปราศรัยใหญ่ โดยระบุเหตุผลว่าเป็นการจำกัดสิทธ์เกินสมควร


ประเด็นนี้นายชูวิทย์ ระบุว่า พรรคภูมิใจไทยฟ้องเพื่อปิดปาก ตนเป็นประชาชนไม่มีอาวุธ ไม่มีกองกำลัง มีเพียงลูกน้อง 1-2 คน ที่คอยช่วยยกของ และล่าสุด ที่พรรคภูมิใจไทยร้องศาลแพ่งให้ไต่สวนฉุกเฉินเพื่อคุ้มครอง สั่งห้ามไม่ให้ตนเดินทางไปยังเวทีปราศรัยใหญ่ของภาคในวันพรุ่งนี้ ศาลก็ออกคำสั่งทันทีว่าเป็นการละเมิดและจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชน และไม่คุ้มครอง เนื่องจากตนเองไปได้มีกองกำลังหรือใช้กำลังหรือไปปิดสนามบินเหมือนนายสนธิ และ ศาลท่านก็เห็นว่าเหตุการณ์ยังไม่เกิดขึ้นไม่ควรไปจำกัดสิทธิเสรีภาพ


นายชูวิทย์ ยังกล่าวว่า พรรคภูมิใจไทยอยากจะฟ้องตนนัก ดังนั้น ตนขอประกาศว่าในวันนี้ 12 พ.ค. 66 เวลา 13.30 น. ตนไปฟ้องกลับพรรคภูมิใจไทยที่ศาลแพ่ง เรียกค่าเสียหาย 1,000 ล้านบาท ข้อหานำนโยบายสาธารณะจากกรณีกัญชาเสรี ทำให้ประชาชนและสังคมได้รับผลกระทบ ซึ่งตนจะนำเงินเหล่านี้ไปตั้งเป็นกองทุน “เยียวยาคนที่ได้รับผลกระทบจากกัญชาจากนโยบายของพรรคภูมิใจไทย” แล้วให้กระทรวงสาธารณสุขเป็นคนดูแล


เมื่อถามว่า มีพยานหรือไม่ นายชูวิทย์กล่าวว่า หากถามหาพยานเป็นหมอ / แพทยสภา หรือเครือข่ายทางการแพทย์ต่างๆ รวมทั้งประชาชนที่ได้รับผลกระทบ เพียงแค่ตนประกาศแล้วให้ลงชื่อ แบบนี้เพียงพอหรือไม่


ส่วนการที่พรรคภูมิใจไทยเตรียมที่จะดำเนินการกับพรรคการเมืองอื่นๆ ที่ให้พื้นที่ตนเองนั้น ขอให้พรรคภูมิใจไทยไปเตรียมตัวรับมือกับประชาชนที่จะดำเนินคดีกับพรรคดีกว่า


ถามว่า ในวันปราศรัยใหญ่พรรคภูมิใจไทย วันนี้ (12 พ.ค. 66) จะไปหรือไม่หรือไม่ นั้น

นายชูวิทย์ ระบุว่า ยังไม่ขอตอบว่าจะไปหรือไม่ เนื่องจากหากประกาศว่าตนจะเดินทางไป อาจจะมีการเตรียมการเพื่อรอรับ แต่หากไปตนเดินทางไป จะไปเพียงคนเดียว เพื่อแสดงออกทางสิทธิเสรีภาพของในมุมประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายกัญชา


ขณะเดียวกัน ในวันนี้ (12 พ.ค. 66) เวลา 09.00 น. ที่ศูนย์ต่อต้านกัญชาเสรี ตนจะเปิดเผยบุคคลที่อยู่เบื้องหลัง ในการต่อต้านกัญชาเสรี ซึ่งจะมีบรรดาเครือข่ายทางการแพทย์ / บรรดาอาจารย์หมอ ตลอดจนถึงนายกสมาคมนิติเวชแห่งประเทศไทย ฯลฯ ประมาณ 50-60 คน แล้วจะได้เห็นว่าตนไม่ได้โดดเดี่ยว


นายชูวิทย์ ยังกล่าวว่า ช่วงนี้ใกล้เลือกตั้งบรรดาผู้สมัครต่างๆ ของพรรคภูมิใจไทยบางส่วน กลับลำไม่เห็นด้วยกับนโยบายกัญชาเสรี ตนมองว่าไม่ทันแล้ว เพราะหัวหน้าพรรคอย่างนายอนุทินนั้นเอากัญชา


ส่วนการตั้งศูนย์รับเรื่องร้องเรียนการโกงเลือกตั้ง ได้ชูวิทย์ระบุว่า ขณะนี้มีเรื่องร้องเรียนเข้ามาแล้ว หลายเรื่องซึ่งมีครบทุกภาคของประเทศไทย หนักสุดคือภาคใต้และภาคอีสาน // ส่วนภาคกลาง คือ พระนครศรีอยุธยา / สระบุรี ฯลฯ ยืนยันว่ามีทุกจังหวัด และในวันเลือกตั้งที่ 14 พ.ค. จะเปิดศูนย์รายงานสถานการณ์การเลือกตั้ง รวมทั้งการทุจริตการเลือกตั้งแบบเรียลไทม์ พร้อมยืนยันว่าคนอย่างตนนี่แหละ จะเป็นคนให้บทเรียนกับนักการเมือง


เมื่อถามถึงกรณีที่นายชูวิทย์ ออกมาพูดถึงการโกงเลือกตั้ง แต่ กกต. ค่อยข้างนิ่งมาก


นายชูวิทย์ ระบุว่า กกต.ได้รับการแต่งตั้งมา ตนจึงไม่ทราบว่าคิดอย่างไร แต่อยากถามตนคนเดียว ทุกๆ คน ล้วนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ความผิดพลาดของ กกต.ในการเลือกตั้งล่วงหน้านั้น ให้อภัยไม่ได้ ดังนั้น การดำเนินคดีหรือฟ้องศาลต่อ กกต. เช่นเดียวกับกรณีของ พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ อดีตประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่กลับหลังหันคูหา กรณีเดียวกัน แต่ตนต้องรวบรวมเอกสารหลักฐานให้ชัดเจน เพราะครั้งก่อนเป็นการกระทำโดยเปิดเผย แต่กรณีของตนนั้น ต้องรวบรวบผู้เสียหาย และมีพยานหลักฐานอันมั่นคง จึงต้องใช้เวลา

-------------



รับชมผ่านยูทูปได้ที่ : https://youtu.be/R_sLoOn6iHo

คุณอาจสนใจ

Related News