เลือกตั้งและการเมือง

'ชูวิทย์' แฉคลิป 'ทนายตั้ม' เปิดของขวัญจาก 'บิ๊กโจ๊ก' - ลากกระเป๋าร้อง ผบ.ตร. สอบตำรวจท่องเที่ยว

โดย nattachat_c

26 เม.ย. 2566

44 views

วานนี้ (25 เม.ย. 66) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง ได้นำเอกสาร คลิปวิดีโอ พร้อมลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ ยื่นหนังสือต่อ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ให้ตรวจสอบคลิปวิดีโอเจ้าหน้าที่ตำรวจท่องเที่ยวให้บริการ ทนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชน ที่สนามบินฯ โดยมี พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นผู้รับมอบ


เพื่อให้ตรวจสอบกรณีที่ปรากฏภาพ 2 นายตำรวจท่องเที่ยว อำนวยความสะดวกยกกระเป๋าให้แก่ทนายตั้ม และเพื่อนหญิง ที่สนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งพฤติกรรมอันพึงกระทำของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อภาพลักษณ์ขององค์กรตำรวจ จึงขอให้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง ดังนี้


1. เจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งสองนายที่ปรากฎในคลิปวิดีโอ อยู่ในระหว่างเวลาปฏิบัติหน้าที่หรือไม่

2. หากเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งสองนายอยู่ในระหว่างเวลาปฏิบัติหน้าที่ ได้มีการอำนวยความสะดวกให้ประชาชนทั่วไปรายอื่น ๆ เช่นเดียวกับที่อำนวยความสะดวกให้กับนายษิทรา หรือไม่

3. หากเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งสองนายไมใด้อยู่ในระหว่างเวลาปฏิบัติหน้าที่ การอำนวยความสะดวกของเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งสองนายให้กับนายษิทราฯ สืบเนื่องมาจากการได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชารายใดหรือไม่

4. ทุกครั้งที่นายษิทราเดินทางกลับเข้าประเทศไทย เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองได้มีการตรวจสอบสัมภาระ ว่ามีการนำเข้าสินค้าที่ต้องสำแดงภาษี เช่น นาฬิกา กระเป๋า เสื้อผ้า ฯลฯ หรือไม่ เพราะพบว่านายษิทรา มีเสื้อผ้าแบรนด์เนมจากต่างประเทศ มีนาฬิกาหรู ยี่ห้อปาเต๊ะฟิลลิป ราคา 6 ล้านบาท กระเป๋าแบรนด์เนมและอื่นๆ อีกจำนวนมาก ซึ่งคาดว่าลักลอบนำเข้าจากต่างประเทศโดยเสียภาษี


นายชูวิทย์ กล่าวว่า การยื่นหนังสือในวันนี้ เพื่อแสดงเจตจำนงในการสลายค่านิยม VVIP ในประเทศไทย ยืนยันว่าไม่ใช่เรื่องส่วนตัวหรือการแฉกันไปมา แต่เป็นการพูดเพื่อประโยชน์ของสังคม ของสังคมให้รับรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งการต้องการให้ตรวจสอบครั้งนี้ เพื่อให้เกิดความชัดเจน การบริการของตำรวจต้องไม่ให้บริการเฉพาะ VVIP เท่านั้นเพื่อไม่เกิดความเหลื่อมล้ำกับประชาชน


โดยส่วนตัวเชื่อว่าเรื่องนี้หากไม่มีผู้บังคับบัญชาสั่งการ ตำรวจย่อมไม่สามารถกระทำด้วยตนเองได้ พร้อมฝากเตือนไปถึง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ว่าหากจะเป็นเบอร์ 1 ในอนาคต  ต้องระมัดระวังคนรอบข้าง มิเช่นนั้นอาจไปไม่ถึงเป้าหมายได้ และเมื่อวันที่ 24 เม.ย.ได้พูดคุยทำความเข้าใจกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ แล้ว ยืนยันว่าไม่โกรธเคืองกัน เป็นการเตือนด้วยความหวังดี


ส่วนประเด็นที่มีการพาดพิง ถึงลูกชายของตนว่ามีการวิ่งเต้นเพื่อขอเป็นนายทหารนั้น ยอมรับว่า ครอบครัวคนไทยต้องการส่งเสริมให้ลูกได้ดี แต่ไม่ได้รับความช่วยเหลือจึงไม่ได้รับโอกาสนั้น ลูกชายตนจึงเป็นเพียงพลทหาร ปฏิบัติหน้าที่ตามปกติและไม่ได้รับการดูแลเป็นพิเศษ เมื่อลูกชายตนปลดประจำการแล้วก็ไม่ได้ไปสมัครเป็นนายทหารแต่อย่างใด กลับมาเป็นประชาชนทั่วไปเช่นเดิม และยังตั้งข้อสังเกตว่า เรื่องนี้ เป็นเรื่องที่ผ่านมานานแล้ว เหตุใดจึงกลับมาเป็นประเด็นอีกครั้ง  


พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า พลตำรวจเอกดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ สั่งการด่วนให้กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว ตรวจสอบข้อเท็จจริงดังกล่าวที่เกิดขึ้นโดยละเอียด ว่าการดำเนินการในลักษณะดังกล่าวเกิดขึ้นที่ไหนอย่างไร เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจในสังกัด บช.ทท. หรือไม่ เป็นการดำเนินการตามอำนาจหน้าที่หรือไม่ รวมทั้งการให้บริการอำนวยความสะดวกดังกล่าว มีความเหมาะสมหรือไม่ และมีการสั่งการให้ดูแลอำนวยความสะดวกเป็นกรณีพิเศษหรือใช้อภิสิทธิ์ชน จนกระทบต่อภาพลักษณ์ขององค์กรหรือไม่


หากพบว่าเป็นความผิดให้ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ โดยรายงานผลให้ทราบโดยเร็ว นอกจากนี้สั่งให้ทบทวนการดูแลอำนวยความสะดวกประชาชนของเจ้าหน้าที่ กำหนดขอบเขตการทำงานให้ชัดเจน ไม่เป็นการเลือกปฏิบัติหรือเกินความเหมาะสม เพื่อให้มีมาตรฐานการปฏิบัติงานเป็นมาตรฐานเดียวกัน ไม่เกิดความเหลื่อมล้ำ

-------------

เมื่อวานนี้ (25 เม.ย. 66) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. กล่าวถึงกรณีที่นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ อดีตนักการเมือง ได้โพสต์คลิปตำรวจท่องเที่ยวอำนวยความสะดวกให้กับลูกความของนายษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนที่สนามบินสุวรรณภูมิ พร้อมระบุ เพราะทนายตั้มมีความสนิทกับตน ว่า


ยอมรับว่าสนิทกับทนายตั้ม หลายคนผมก็มีความสนิท เพียงแต่ว่าทนายตั้มเป็นคนชอบโพสต์  ภาพเหล่านี้จึงออกไปปรากฎต่อสาธารณะ การรู้จักกันสนิทกัน ไม่ได้หมายความว่าให้ทนายตั้มไปทำผิดกฎหมายได้


ส่วนที่ตำรวจท่องเที่ยวไปหิ้วกระเป๋ากับภาพที่ปรากฏ ต้องเรียนว่าผมไม่ได้สั่ง นิสัยผมเป็นคนเข้มงวดเรื่องวินัย ผมจะไม่สั่งลูกน้องทำแบบนี้อยู่แล้ว อีกอย่างการที่มีตำรวจท่องเที่ยวไปรับใครก็ตามที่เป็นผู้บังคับบัญชาของตำรวจท่องเที่ยว ต้องตรวจสอบให้ได้ว่าพฤติกรรมแบบนี้ใครสั่ง มันหาไม่อยากว่าใครสั่งแล้วไปรับได้อย่างไร มันเสียหายภาพลักษณ์ตำรวจ


เพราะฉะนั้นขอเรียนตรงๆ ว่าเราเป็นตำรวจ รู้จักทุกคนได้หมด แต่ใช่ว่ารู้จักผมแล้วจะทำผิดกฎหมายได้ ไม่ใช่ว่ากินข้าวกับผมแล้วจะไปยิงใครก็ได้ ถ้ากินข้าวกัน รู้จักกันถ้า ทำผิดกฎหมายก็จับ แล้วห้ามโกรธกัน


พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวอีกว่า เช่นเดียวกันกับทนายตั้ม รู้จักกันยังไม่มีอะไรที่เป็นความผิด ถ้าเป็นความผิดก็ต้องดำเนินคดีกับทนายตั้มเช่นเดียวกัน ทุกอย่างมาตรฐานเดียวกันหมด


ที่มีภาพตนปรากฏกับทนายตั้มเป็นภาพจริง เขาเป็นทนายบางทีก็มีกลุ่มเพื่อนทนาย ก็มีการพูดคุยเรื่องคดีต่างๆ เพราะผมทำงานด้านสืบสวนสอบสวน บางทีคนอื่นเอาไปโพสต์หรือตั้มนำไปโพสต์จึงเกิดประเด็นขึ้น


ผู้สื่อข่าวถามว่าทนายตั้มนำภาพไปโพสต์จะเกิดความเสื่อมเสียต่อภาพลักษณ์หรือไม่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ก็ไม่กระทบอะไร ทุกวันนี้ทนายตั้มก็มีทนายความอยู่ คดีความของเขาก็ต้องไปต่อสู้เอง วันนี้ไม่มีใครมาฟังเขา แม้แต่อัยการยังสั่งคดีเขาอยู่ ไม่มีใครไปแทรกแซงได้


ผมเองก็ไม่เคยไปยุ่งเกี่ยวกับคดีเขา ขนาดตำรวจด้วยกันผมยังจับ ถ้าทนายตั้มผิดผมก็ต้องจับ อย่าไปคิดว่ากินข้าวกับผม รู้จักกับผมแล้วต้องทำผิดกฎหมายได้ เราเป็นตำรวจ เรารู้จักคน ทุกสังคมไม่ว่าจะเป็นคนข้างบนหรือข้างล่าง ไม่ใช่แต่ทนายตั้มที่รู้จัก หรือกินข้าวคนอื่นก็เหมือนกัน เพียงแต่ทนายตั้มชอบโพสต์


เมื่อถามถึงการที่ทนายตั้มซื้อของแบรนด์เนม อย่างเช่น เสื้อ เนคไท มามอบให้ ผิดกฎของราชการหรือไม่

รอง ผบ.ตร. ถามกลับว่าซื้อให้ใคร ภาพที่ปรากฏไม่ใช่วันเกิดของตน แต่เป็นวันเกิดของภรรยา เขาไม่ได้ซื้อให้ผม ผมไม่เคยเอาของอะไรของเขามาเลย ไม่มีใครซื้อของมาให้ผมได้ ตั้มไม่มีปัญญาซื้ออะไรมาให้ผม มีแต่ผมต้องให้เขาด้วยซ้ำ ใครจะพูดอะไรก็ตามอยู่ที่ความเป็นจริง


ส่วนทนายตั้ม วันนี้เมื่อเขาทำอะไรไปผลรับก็เกิดกับเขาเอง วันนี้จะเห็นว่าสิ่งที่เขาทำอะไรไปจริงบ้างไม่จริงบ้าง สุดท้ายผลรับก็ตกอยู่กับตัวเอง โลกโซเชียลมีเดียใครทำจริงไม่จริงไม่ต้องรอให้ใครมารายงาน สังคมตรวจสอบเอง


เมื่อถามต่อว่าจะเรียกทนายตั้มมาปราม หรือถอยห่างออกมาหรือไม่ เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นทำให้ภาพลักษณ์เสียหาย

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า อันไหนคือพวกก็คือพวก หลักของผมไม่ใช่ว่าวันนี้เขาแย่แล้วเราจะไปทิ้งเขาไม่ใช่อย่างนั้น เพียงแต่ว่าเราไม่ช่วยสนับสนุนเขาทำในสิ่งไม่ถูกต้อง เพื่อนคือเพื่อน พวกคือพวก


ทนายตั้มผมปรามไปเยอะแล้ว บอกไปตั้งนานแล้วว่า การเป็นทนายเพื่อประชาชนมันไม่ใช่ทนายที่หิวแสง การเป็นทนายประชาชนต้องไม่ใช่ทนายเซเลป ต้องเป็นทนายที่ทำจริง ทำให้ประชาชนเห็น


เมื่อถามอีกว่าดูเหมือนเขาจะไม่ฟัง

รอง ผบ.ตร. กล่าวว่า เขาไม่ใช่ญาติผมเขาจะฟังผมได้ไง แต่เราก็เตือนในฐานะเป็นน้อง ผมไม่ได้สนิทถึงขนาดที่ต้องไปบอกให้เขาทำอะไรได้ แต่ถามว่าที่ผ่านมาเราดีกัน แต่วันนี้อยู่ๆ จะให้ไปตัดกันเลยไม่ได้ วันนี้เขาตกอับ เราจะไปทิ้งเขา เราก็เป็นคนที่คบไม่ได้


เมื่อถามอีกว่า ทางนายชูวิทย์ ได้เตือนให้ระวังการกระทำของทนายตั้มจะทำให้ได้รับผลกระทบ

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ต้องขอบคุณพี่ชูวิทย์ แต่ผมรู้ว่าผมอยู่แค่ไหน ผมรู้จักกับใครก็กินข้าวกัน บางคนเป็นผู้ต้องหาที่ประกันตัวออกมาผมก็กินข้าวด้วย แต่ถ้าไม่โพสต์ก็ไม่มีคนรู้ แต่ทนายตั้มเป็นคนชอบโพสต์ ก็ได้มีการเตือนไปตั้งนานแล้ว เป็นทนายประชาชนต้องทำจริง แต่ไม่ใช่ทนายหิวแสง หรือทนายเซเลป สิ่งที่เขาเจอวันนี้เป็นบทเรียน ไม่ต้องมีใครสอนเขา สิ่งที่เขากำลังเจอจะเป็นบทเรียนให้เขา


ส่วนผมจะโดนกระทบกระทั่งบ้างก็ไม่เป็นไร ถือว่าเรารู้จักกัน คนสองคนทะเลาะกันสะเก็ดกระเด็นมาถูกผมบ้างก็ไม่เป็นไร และการที่คนสองคนทะเลาะกัน ผมก็ไม่ไปยุ่งเกี่ยว ไม่โกรธพี่ชูวิทย์ เพราะผมถือว่าไม่เป็นเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องจริง ป่านนี้ ผบ.ตร.ตั้งกรรมการสอบผมไปแล้ว


ส่วนที่มีการคุยกับคุณชูวิทย์วานนี้ (24 เม.ย. 66) เพราะเห็นเขาโพสต์ ก็อธิบายให้เขาฟังว่าเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องจริง ใครทำก็ต้องรับผิดชอบไป

-------------

ชูวิทย์เปิดคลิปทนายตั้ม เปิดของขวัญจากบิ๊กโจ๊ก

ขณะที่วานนี้ (วันที่ 25 เม.ย.) นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ โพสต์คลิปที่อยู่ในอินสตาแกรม ของทนายตั้ม ษิทรา เบี้ยบังเกิด โดยเป็นคลิปขณะที่ทนายตั้ม กำลังเปิดกล่องของขวัญปีใหม่ (ปี2565) ที่ได้จากบิ๊กโจ๊ก-พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. โดยของขวัญชิ้นนี้คือ เนคไท สีฟ้า จากแบรนด์ Hermès (ราคาจากหน้าเว็บ 9,450 บาท)

พร้อมระบุข้อความว่า “คนชอบอ้างผู้ใหญ่ก็แบบนี้ ซื้อเน็คไทให้เส้นนึงยังอวดโชว์ แล้วจะไม่อ้างเรื่องอื่นได้ไง? เดี๋ยวอ้างสนิท เดี๋ยวอ้างชื่อ ตำรวจน้อยใหญ่ หัวหด เพราะ เทพ จ. อยู่อีกนานถึง 8 ปี ตำรวจคนไหนจะไม่กลัว?

ยิ่งอ้าง ยิ่งได้ ใครจะอดใจไหว? โถ เด็กหนอเด็ก รู้ใจจังว่าชอบสีนี้ แหม พี่โจ๊กรู้ใจไปหมดทุกอย่าง แล้วแบบนี้ไม่เรียกซี้กันหรือ?”



คุณอาจสนใจ

Related News