เลือกตั้งและการเมือง

เปิดอกคุย 'เศรษฐา' แจงยิบ นโยบายเงินดิจิทัล 1 หมื่น เงินมาจากไหน? กระตุ้นเศรษฐกิจหรือขายฝัน

โดย nattachat_c

12 เม.ย. 2566

58 views

วานนี้ (11 เม.ย. 66) เวลา 08.30 น. นายเศรษฐา ทวีสิน ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย (พท.) และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย กล่าวในรายการ ‘กรรมกรข่าวเปิดอกคุย’ ของนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ถึงกรณีนโยบายกระเป๋าเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาท กับคำถามต่างๆ ที่หลายคนสงสัย ว่า


เมื่อถามว่า เอาเงินมาจากไหน?

นายเศรษฐา ตอบว่า เราต้องใช้เงินทั้งหมดประมาณ 5 แสนล้านบาท เพื่อไปให้คนที่มีอายุตั้งแต่ 16 ปีขึ้นไป ที่มาของเงินตรงนี้ ครึ่งหนึ่งมาจากเงินงบประมาณปี 2567 เราจะเก็บได้เพิ่มขึ้นอย่างน้อยที่สุดประมาณ 2.6 แสนล้านบาท


โดยนโยบายนี้ไม่ได้ขายฝัน แต่เน้นการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อให้ดันตัว GDP ของประเทศขึ้น ซึ่งนายเศรษฐาได้ยกตัวอย่างประเทศสหรัฐอเมริกาว่า มีการใช้งบประมาณของประเทศเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ จำนวน 25 เปอร์เซ็นต์ของ GDP ส่วนประเทศสิงค์โปร์มีการใช้งบประมาณ 18 เปอร์เซ็นต์ของ GDP เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบเงินก้อนใหญ่ครั้งเดียว


ขณะที่ประเทศไทย มีการใช้งบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจจำนวน 11 เปอร์เซ็นต์ของ GDP แต่วิธีการนั้นแตกต่างกันกับ 2 ประเทศที่ได้บอกข้างต้น เพราะมีการจ่ายแบบกระปริบกระปรอย ยกตัวอย่างโครงการรัฐที่ออกมา เช่น ชิมช้อปใช้ คนละครึ่ง เราเที่ยวด้วยกัน จำนวนหลายเฟส มาตราการเหล่านี้เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในปริมาณไม่เหมาะสม


โดยมีการยกตัวอย่าง เพื่อที่จะได้เห็นชัดเจน เพื่อจะได้เห็นว่ามาตราการที่ดี ที่ไม่ได้เป็นแบบกระปริบกระปรอย เช่น นโยบายของประเทศอังกฤษ ที่มีการอัดเม็ดเงินเข้าสู่ภาคโรงแรมที่ได้รับผลกระทบในการหยุดงาน โดยรัฐบาลให้เงินประชาชนไปเลย 70 เปอร์เซ็นต์ของเงินที่ได้รับ แต่ก็ทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อขึ้นในหลายประเทศในโซนยุโรปและอเมริกา


ขณะที่ประเทศไทยถือว่ามีอัตราเงินเฟ้อที่น้อยมาก ถ้าเทียบกับประเทศเหล่านี้ ซึ่งมาตการของประเทศไทยพยายามที่จะคุมไม่ให้อัตราเงินเฟ้อพุ่งสูง แต่ทำให้ GDP ไม่โต แต่การอัดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบนั้น จะต้องอยู่ในเวลาที่เหมาะสม แบบตอนนี้ที่ทางพรรคเพื่อไทยได้คิดไว้


ถ้าหากเปรียบเหมือนว่าคนไข้อยู่ในห้องไอซียู อยู่ในอาการ GDP ต่ำ ภาวะหนี้สินสูง การทำมาหากินไม่ดี รายได้ลด เพราะฉะนั้น การกระตุ้นเพื่อให้ฟื้นคืนมานั้น ต้องให้กำลังจำนวนมากในการกระตุ้น การให้เงินก้อนเข้าสู่ระบบเพื่อให้เกิดการลงทุน หรือการให้ตั้งตัวได้ แต่ที่รัฐบาลทำนั้นเป็นการรักษาแบบค่อยๆ ให้ เหมือนหยอดน้ำข้ามต้มรอวันตาย เช่น มาตรการคนละครึ่ง เราชนะ เราเที่ยวด้วยกัน


ส่วนประเด็นที่มาของเงิน 5 แสนล้าน ที่จะอัดเข้าสู่ระบบ เพื่อแจกเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาท มาจากไหน

นายเศรษฐา บอกว่า เป็นการนำงบมาจาก 2 ส่วน  คือ

1. งบประมาณจากการเก็บภาษีของปี 2567 ที่มีจำนวนสูงถึง 256,600 ล้านบาท ซึ่งงบจากส่วนแรกก็เกินครึ่งหนึ่งของจำนวนเงินที่โครงการนี้ต้องใช้

2.รายได้ที่มาจากภาษีที่เพิ่มขึ้นมา จากการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% และภาษีนิติบุคคล โดยมาจาก เมื่อโครงการนี้มีการประกาศใช้ออกไป กลุ่มผู้ผลิตสินค้าจะต้องมีการเตรียมสิ่งของในการขาย ก็จะส่งผลไปถึงการจับจ่ายซื้อของ อัตราการจ้างงานเพื่อรองรับกำลังการซื้อที่รัฐบาลจะอีดเงินเข้าสู่ระบบ ทำให้รัฐสามารถจัดเก็บภาษี vat 7 เปอร์เซ็นต์ ได้เพิ่มขึ้น ขณะเดียวกัน เมื่อมีกำลังการผลิต มีกำลังการซื้อ ก็จะส่งผลให้เกิดรายได้ส่วนบุคคลที่เพิ่มขึ้น ดังนั้น รัฐเองก็มีรายได้ที่มาจากภาษีส่วนบุคคลอีก 20 เปอร์เซ็นต์ รวมประมาณ 3 แสนล้าน


เมื่อพูดถึงการแข่งขันของประเทศที่ พลเอกประยุทธ จันทร์โอชา บอกว่าสถานการณ์ของประเทศไทยกำลังดีขึ้น โดยขอทำต่อ

นายเศรษฐา กล่าวว่า ตอนนี้เราอยู่ในหลุมดำ เศรษฐกิจไทยโตแค่ 2.3% เพื่อนบ้านโต 7-8% ตามหลักสากลถือว่าเรายังไปไม่ถึงศักยภาพที่คนไทยทำได้ ตอนนี้ลงพื้นที่ มีแต่คนบอกว่าพอแล้ว เบื่อแล้ว ไม่อยากให้ทำต่อแล้ว


ส่วนประเด็นที่ว่า ทำไมกระเป๋าเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาท ต้องเป็นอายุ 16 ปี

นายเศรษฐา บอกว่า ถ้าเกิดบอกว่า 18 ปี หรือ 20 ปี ก็จะมองว่ามีวาระซ้อนเร้นซื้อเสียงหรือเปล่า ทั้งนี้ ตนเชื่อว่าอายุ 16 ปี มีวุฒิภาวะพอแล้ว ส่วนกรณีมีการวิจารณ์ว่า คนรวยก็ได้ ทำไมไม่แจกคนจนอย่างเดียว ซึ่งต้องทำตามรัฐธรรมนูญที่ระบุว่าต้องเท่าเทียมกัน คนที่เดือดร้อนก็ได้ คนรวยคนจนได้เหมือนกัน


ทำไมต้องใช้ในระยะ 4 ตารางกิโลเมตร

นายเศรษฐา บอกว่า เราต้องการกระจายการใช้จ่ายไปทุกภูมิภาค ไม่กระจุกที่ห้างใหญ่ๆ และสามารถใช้ซื้อของได้หมด ทั้งเครื่องมือเกษตร และสินค้าต่างๆ แต่ห้ามเอาไปซื้อเหล้า ซื้อบุหรี่ ใช้หนี้ และห้ามซื้อของออนไลน์ เพราะไม่ถือเป็นการซื้อในชุมชน คนทำงานที่กรุงเทพฯ ก็ต้องกลับไปใช้ที่บ้านเกิดที่ต่างจังหวัด เราถึงมีเวลาให้ใช้ 6 เดือน เชื่อว่าทุกคนต้องกลับไปเยี่ยมพ่อแม่พี่น้องที่บ้านเกิด


ส่วนแอปพลิเคชั่นเป๋าตังว่า ทำไมมีแล้วไม่ใช้ ทำไมต้องไปทำเป็นบล็อกเชน

นายเศรษฐา บอกว่า เพราะเราต้องกำหนดเงื่อนไขในการใช้ จำกัดสินค้าที่สามารถใช้ได้ รวมทั้งพื้นที่ที่สามารถใช้เงินได้ มันคือคูปอง 1 หมื่นบาท ที่ใส่ในกระเป๋าเงินดิจิทัล จะใช้วันเดียว หรือทยอยใช้ภายใน 6 เดือนก็ได้ ถ้าครบ 6 เดือนจะหมดอายุ คูปองใช้ไม่ได้แล้ว


“คูปองนี้โอนไม่ได้ ไม่มีการเทรดในตลาด ไม่ใช่เหรียญคริปโต เป็นคูปองที่เปลี่ยนจากบัตรเป็นใบๆ ไปอยู่ในมือถือแทน เอาไปเก็งกำไรไม่ได้ 1 หมื่นก็คือ 1 หมื่น ไม่มีขึ้นมีลง โอนขายก็ไม่ได้ ยืนยันไม่เกี่ยวข้องกับแสนสิริ ทั้งนี้ นโยบายกระเป๋าเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาท ไม่ต้องแก้ไขกฎหมายอะไร เพราะที่ผ่านมาก็ทำอยู่แล้ว ทั้งคนละครึ่ง เราเที่ยวด้วยกัน”


นายเศรษฐา บอกอีกว่า นอกจากนี้ พรรคเพื่อไทยจะเติมเงินให้ครอบครัวที่รวมแล้วมีรายได้เดือนละไม่ถึง 2 หมื่นบาท เช่น รวมแล้วมีรายได้ 1.5 หมื่นบาท เราจะเติมให้ 5 พันบาท เติมไปจนกว่าเขาจะมีรายได้เดือนละ 2 หมื่นบาท ยืนยันนโยบายทุกอย่างของเพื่อไทย ทำได้จริง ไม่ว่าจะเป็น ค่าแรงขั้นต่ำ 600 ภายใน 4 ปี เงินเดือนป.ตรี 2.5 หมื่นบาทภายใน 4 ปี

-------------

รับชมผ่านยูทูปได้ที่ : https://youtu.be/_c8Kl6EmA84

คุณอาจสนใจ

Related News