เลือกตั้งและการเมือง

'ชูวิทย์' ลุยต่อ ยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลแพ่งวันนี้ เผยศาลไม่เคยเรียกไปให้ข้อมูล สงสัยอาจโดนปิดปาก

โดย nattachat_c

7 เม.ย. 2566

65 views

ความคืบหน้ากรณี นายศุภชัย ใจสมุทร นายทะเบียน พรรคภูมิใจไทย เผยศาลแพ่งสั่งคุ้มครองชั่วคราว ห้ามนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ กล่าวหรือแสดงการกระทําด้วยวิธีใดๆ เรื่องกัญชาที่เกี่ยวข้องพรรคภูมิใจไทยอีก หลังจากพรรคภูมิใจไทยเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง กรณีแพร่ข่าวฝ่าฝืนต่อความเป็นจริง ทำให้พรรคภูมิใจไทยเสียหาย ซึ่งศาลชี้คำฟ้องของโจทก์มีมูล


วานนี้ (6 เม.ย. 66) นายอนุทินชาญ วีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวว่า การวิพากษ์วิจารณ์หรือด้อยค่า ทำให้ประชาชนรับฟังสิ่งที่ไม่เป็นความจริงของพรรคภูมิใจไทย เราไม่สามารถห้ามใครพูดได้ก็ต้องอาศัยบารมีของศาล ที่จะให้ความคุ้มครองต่อพรรคภูมิใจไทย คำสั่งศาลรอบนี้ เราไม่ได้มองว่าเป็นใครชนะหรือแพ้ แต่เป็นการปกป้องไม่ให้ใครมาว่ากล่าว ให้ร้าย หรือทำให้ประชาชนเข้าใจผิดในตัวพรรค


ในเมื่อห้ามปากคนให้พูดไม่ได้ ก็ต้องอาศัยกฎหมายให้ศาลมีคำสั่ง ใครไม่ทำตามคำสั่งศาลก็ถือว่าละเมิดอำนาจศาล และไม่ใช่หน้าที่ของพรรคภูมิใจไทยแล้ว เมื่อละเมิดอำนาจศาลก็ต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย ตามครรลองของบ้านเมือง


ส่วนที่นายชูวิทย์ โพสต์ระบุว่า ถูกพรรคภูมิใจไทยร้องศาลปิดปากประชาชน และหลังจากนี้จะเดินหน้าไม่ถอยซึ่งในวันศุกร์นี้เตรียมที่จะรณรงค์ต่อต้านกัญชา ที่อนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิต่อไปว่า ตอนนี้ตนและผู้สมัครทุกคนลงพื้นที่หาเสียง "ไม่มีเวลาดู YouTube หรอกครับ"

-------------

วานนี้ นายชูวิทย์ได้ตั้งโต๊ะแถลงข่าวที่โรงแรมเดวิด โดยมาในรูปแบบที่แตกต่างจากทุกครั้ง


โดยก่อนการแถลงข่าว นายชูวิทย์ได้มีการจัดโต๊ะเก้าอี้ ติดป้ายคำว่า “ประชาชน” ส่วนตัวนายชูวิทย์ สวมใส่เสื้อยืดสีดำ มีลวดลายเป็นหน้าของตัวเอง โดยด้านหลังมีข้อความว่า “ต่อต้านกัญชาเสรี” สะพายกระเป๋าผ้าสีขาวมีข้อความว่า “เราไม่เอากัญชา” พร้อมนำเทปกาวสีดำมาปิดปาก และใส่แว่นดำ ปิดทับด้วยผ้าสีดำอีกชั้น จากนั้นก็ชูมือขึ้นสองข้าง


จากนั้นได้หันไปเขียนกระดานโดยที่ผ้ายังปิดตา มีข้อความว่า สิทธิ เสรีภาพประชาชน , พรรคการเมือง แล้วก็ทำท่าทางแสดงเชิงสัญลักษณ์ว่าถูกปิดหูปิดตา


จากนั้น ก็เปิดเผยข้อมูลกับสื่อว่า ตนเองเติบโตมากับประเทศที่พลเมืองมีสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก ซึ่งสิทธิเสรีภาพของการแสดงออกนั้น ต้องไม่กระทบกับบุคคล หรือนิติบุคคลใด


แต่ที่มาพูดถึงวันนี้ กำลังจะพูดถึงพรรคการเมือง ซึ่งพรรคการเมืองก็คือผู้ที่นำเสนอนโยบาย  และการใช้อำนาจนำนโยบายนั้นไปบังคับใช้


การที่พรรคการเมืองออกหาเสียง และนำนโยบายต่างๆ ออกมาหาเสียงนั้น ล้วนแต่เป็นนโยบายสาธารณะ พรรคการเมืองนำนโยบายมาเสนอประชาชน ซึ่งนโยบายที่นำเสนอนั้นก็เป็นปกติ ที่จะต้องมีผู้ได้ประโยชน์และผู้เสียประโยชน์


ดังนั้น ตนในฐานะที่เป็นพลเมืองมีสิทธิและเสรีภาพ ก็มีสิทธิวิพากษ์วิจารณ์พรรคการเมือง เช่นนโยบายกัญชาเสรี โดยมีพรรคภูมิใจไทยเป็นคนนำเสนอนโยบายนี้ออกมา การนำเสนอนโยบายกัญชานั้นใครได้ประโยชน์ คือเห็นด้วยกับพรรคภูมิใจไทย


ดังนั้นการที่ตนออกมาพูดก็เป็นสิทธิของตนที่จะพูดเรื่องข้อเสียจากกัญชา ซึ่งกัญชานั้นมันมีสองด้านทั้งประโยชน์และข้อเสีย ตนในฐานะประชาชนวิพากษ์วิจารณ์กัญชาก็เป็นสิทธิเสรีภาพ ซึ่งผมไม่ได้ไปก้าวล่วงไม่ได้ละเมิด “กลับกันพรรคการเมืองที่มาละเมิดสิทธิเสรีภาพของผม”


เพราะพรรคภูมิใจไทยมีเครื่องไม้เครื่องมือ มีทุน มีเครือข่าย มีสมาชิก แต่เปรียบเทียบกับตนเอง ตัวคนเดียว ประชาชนเพียงคนเดียว เมื่อเป็นประชาชนเพียงคนเดียว พรรคภูมิใจไทยก็ไม่ต้องกลัว เพราะกรณีมาตรา 73 ที่ระบุว่า ให้ร้ายป้ายสี ซึ่งหากตีความก็คือผู้สมัครคู่แข่ง ที่ให้ร้าย “แต่ไม่ใช่ ผมเป็นประชาชนไม่ได้สังกัดพรรคใด และผมก็ใช้วิธีการตามปกติในการ ณรงค์ ผมมีการแจกเสื้อ ให้เข็มกลัด จากทุนของผม”


อยากถามว่ามีพรรคการเมืองใดบ้างที่สนับสนุน เรื่องกัญชาบ้าง


นโยบายกัญชาไม่ได้ผ่านกฎหมายลูก ไม่ได้ผ่านการโหวตในสภา แต่พรรคภูมิใจไทยกับใช้เพียงประกาศของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งเป็นกระทรวงที่ดูแลเรื่องสุขภาพของคนไทย


พรรคการเมืองคือผู้ที่เข้าไปกำหนด ทิศทางของประเทศการนำนโยบายของสาธารณะไปใช้กับประชาชนในขณะที่นโยบายต่างๆ ที่ให้ประชาชนใช้ก็ต้องมีผู้ได้ประโยชน์และเสียประโยชน์


ผมมั่นใจว่า พรรคภูมิใจไทยออกนโยบายกัญชาที่ผิดพลาด ถ้าพรรคภูมิใจไทยมีเจตนาดี กัญชานั้นต้องเข้าใจก่อนว่าเดิมเป็นยาเสพติด การปลดล็อคกัญชาออกมาใช้กับประชาชนย่อมมีแน่นอนทั้งผลดีผลร้าย จะพูดว่ามีผลดีอย่างเดียวไม่ได้ แต่ผมจะบอกว่ามีผลร้ายแค่ไหน


จากนั้น นายชูวิทย์ก็เปิดโปรเจ็คเตอร์ ข่าวต่างๆ ที่ได้รับผลกระทบจากกัญชา ทั้งกรณีเด็กเยาวชนสูบกัญชา และมีอาการประสาทหลอนตามข่าวต่างๆ ที่เคยนำเสนอ


นายชูวิทย์จึงเชื่อว่า กัญชาไม่ได้มีแค่ประโยชน์ ถ้าบอกว่ากัญชาเป็นใช้ในการแพทย์ แล้วทำไมถึงมีข่าวแบบนี้ แล้วทำไมนายอนุทินถึงพูดว่าทำอาหารก็ได้ สันทนาการก็ได้ นี่คือคำพูดของว่าที่นายกรัฐมนตรี ซึ่งผมมีคลิปนี้  


หากผมพูดว่าพรรคการเมืองใช้กัญชาเสรี ไม่ใช่กัญชาทางการแพทย์ เพราะมีการขึ้นทะเบียนในพื้นที่เฉพาะกรุงเทพมากกว่า 4000 แห่ง คือการขออนุญาตไว้ 4000 แห่ง ซึ่งอาจจะยังไม่พร้อมเปิด พื้นที่อนุมัติให้ใช้พื้นที่บางร้าน ก็มีลักษณะคล้ายกับซุ้มกาแฟ ก็ทำให้การควบคุมก็ไร้กฎเกณฑ์ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ ล้วนเป็นปัญหาที่ไม่สามารถแก้ไขได้ในภายหลัง


การสร้างผลเสียให้กับสังคม แต่พรรคภูมิใจไทยกลับนำนโยบายนี้มาใช้ โดยที่ไม่เคยทำประชาพิจารณ์ ที่ผ่านมาการจะก่อสร้างหรือทำอะไรที่กระทบกับสังคม ชุมชน ไม่ว่าจะเป็นการสร้างเขื่อน การสร้างสะพาน การก่อสร้างต่างๆ มีการทำประชาพิจารณ์คนในชุมชน สอบถามผลดีผลเสีย


แล้วทำไมกัญชาถึงไม่มีการทำประชาพิจารณ์เพื่อจะถามคนในสังคมว่า ปลดล็อคกัญชามีผลดีผลเสียอย่างไร


แต่มาถึงวันนี้ ก็เป็นกระบวนการหาเสียง ผมจึงใช้โอกาสนี้ออกมาพูด เมื่อพรรคการเมืองสื่อสารติดป้ายว่านโยบายต่างๆ ที่ผ่านมาดีแบบไหน ดังนั้นก็เป็นสิทธิเสรีภาพของผมที่จะวิพากษ์วิจารณ์


การนำกัญชาออกจากยาเสพติด เพียงแค่การประกาศของกระทรวงสาธารณสุข และผ่านพรบ.กฎหมายลูก แต่พรรคภูมิใจไทยบอกว่า ที่ไม่ผ่านเพราะเรื่องการเมือง.


ผมไม่เห็นด้วย มันเป็นสิทธิเสรีภาพของตนตามรัฐธรรมนูญทุกประการ ซึ่งการรณรงค์ มีการใช้คำพูดแรงหรือแสดงท่าที มันก็เป็นเพียงกิมมิกที่นำมาใช้ เช่นวันนี้ ผมปิดตาผมปิดปากก็เป็นสิ่งที่สื่อสารเชิงสัญลักษณ์ แล้วทำไม ส.ส นักการเมือง คุณแต่งตัวดีๆ ทั้งๆ ที่ตัวจริงอาจจะไม่ดีก็ได้


นอกจากนี้ นายชูวิทย์ยังมีการนำข้อมูลจากสมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย ออกมาเปิดเผย ผลวิจัยและงานวิจัยจากต่างประเทศ ระบุว่า กัญชาส่งผลให้ผู้เสพเป็นโรคจิตเภทมากกว่าคนปกติ 2-3 เท่า และมีฤทธิ์เฉียบพลัน ทำให้ผู้เสพเกิดอาการคลุ้มคลั่งได้ ดังที่เคยมีข่าวผู้เสพกัญชาคลุ้มคลั่งก่อเหตุอาชญากรรมต่างๆ ในห้วงที่ผ่านมาแล้วหลายคดี แต่เหตุใดกระทรวงสาธารณสุขจึงไม่ออกมาเตือนและควบคุม


กัญชาที่บอกว่าสูบแล้วจะทำให้อารมณ์ดี ไม่ทำร้ายใคร แต่จากข่าวที่ผ่านมา ทำให้ประชาชนได้เห็นแล้วว่า การใช้กัญชาเป็นอันตรายต่อบุคคลอื่น จะมีความสุขเฉพาะตอนที่เสพเท่านั้น และมีผลกระทบกับบุคคลอื่น


กระทรวงสาธารณสุขควรจะออกมาเตือน หากการปลดล็อคกัญชาจากยาเสพติด เพื่อใช้ในทางการแพทย์ ก็ควรต้องให้แพทย์เป็นผู้อนุญาต แต่เหตุใดการขึ้นทะเบียนกัญชาจึงมีลักษณะเสรี มีผู้ลงทะเบียนมากกว่า 4,000 แห่งในกรุงเทพฯ และไม่รวมในพื้นที่ต่างจังหวัด ซึ่งคาดว่ามีมากกว่า 10,000 แห่ง และการมาใช้อย่างเข้มงวดควบคุมให้เป็นระบบ 


ดังนั้น แม้ตนเองจะเคารพคำสั่งศาล แต่หลังทบทวนไตร่ตรองอย่างดีแล้ว จึงตัดสินใจที่จะไปยื่นอุทธรณ์คำสั่งที่ศาลแพ่งในวันนี้ (7 เม.ย.) เวลา 9.00 น. จากนั้นไปที่ศาลรัฐธรรมนูญ และไม่ว่า ผลการอุทธรณ์จะออกมาในทิศทางใด ตนเองก็พร้อมจะทำตามคำสั่งศาล


แต่ตอนนี้ ก็เตรียมแผนการรณรงค์คัดค้านนโยบายกัญชาเสรี เพื่อประโยชน์สังคม และในเวลา 17.00 น ก็จะไปรณรงค์กัญชาเสรีที่อนุเสาวรีย์ชัยฯ จากนั้นก็มีการวางแผนว่า จะลงพื้นที่รณรงค์ในพื้นที่ต่างจังหวัด ตั้งแต่ภาคใต้จนถึงภาคเหนือ


ส่วนกรณีเรื่องที่ศาลมีคำสั่งนั้น ตนมองว่ามันเป็นความเร่งรีบ เช้ายื่น ตกบ่ายยื่นอีก เย็นมาได้  แต่ทำไมไม่ได้เรียกผมไปให้ข้อมูล ไม่ได้ให้ผมรับรู้ จึงเกิดคำถามว่า“นี่คือการปิดปากหรือไม่”


ซึ่งการที่ตนออกมาเรียกร้อง มีเพียงแค่ตัวเองคนเดียว และเชื่อว่าพ่อแม่หรือครอบครัวอื่นๆ ที่มีลูกก็เห็นด้วย


“แต่ก็แปลกใจที่พรรคภูมิใจไทยบอกว่าไม่กลัวที่ผมออกมารณรงค์ แล้วทำไมมาร้องศาลให้ปิดปากผม”


แล้วที่น่าแปลกใจคือการมาบอกว่าคุณชนะผม คุณชนะเรื่องอะไร “นี่มันเป็นครั้งแรกที่การเมืองชนะประชาชนอย่างผม มันภูมิใจมากใช่ไหมครับ”

-------------


คุณอาจสนใจ

Related News