เลือกตั้งและการเมือง

'ชูวิทย์' ขุดอดีต 'สันธนะ' ซัดแค่เด็กวานซืน ด้าน 'สันธนะ' เตรียมแจ้งหมิ่นประมาท เป็นสัตว์สี่ขา

โดย nattachat_c

9 พ.ย. 2565

563 views

หลังจาก นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมืองชื่อดัง ออกมาแถลงกรณีกลุ่มธุรกิจสีเทาของชาวจีน พร้อมระบุ ‘สันธนะ’ แค่เด็กวานซืน เข้ามาตี้ซี้ตอนเป็นตำรวจทั้งที่ไม่รู้จัก ชี้นายทุนจีน 5 กลุ่มเหมือนเพลี้ย ฮุบผลประโยชน์ชาติ พร้อมเปิดเผยเอกสารนับร้อยหน้า เมื่อช่วงบ่ายวานนี้ (8 พ.ย. 65)


เมื่อวานนี้ (8 พ.ย. 65) พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. เปิดเผยความคืบหน้าการกวาดล้างธุรกิจสีเทานายทุนจีน ว่า


อย่างที่สื่อทราบอยู่แล้วว่าขบวนการคนจีน มี 5 กลุ่มหลัก ซึ่งตอนนี้มีการจับกุมไปแล้ว 2 คน เหลือ 3 คน ที่หลบหนีออกนอกประเทศด้วยเครื่องบินเจ็ทส่วนตัว ซึ่งกลุ่มคนที่หลบหนีได้ ตำรวจได้ตรวจยึดอายัดทรัพย์สินภายในประเทศ และอยู่ระหว่างสืบสวนเส้นทางการเงินให้เสร็จสิ้น เพื่อขออนุมัติหมายจับกับทางตำรวจสากลหรืออินเตอร์โพล รวมไปถึงสืบสวนขยายผลเอาผิดกับขบวนการคนไทยที่เป็นนอมินีให้ความช่วยเหลือ ซึ่งขอเวลาอย่างน้อย 2-3 สัปดาห์ในการสืบสวนดำเนินคดี


อย่างไรก็ตาม ผู้ที่หลบหนีไปทั้ง 3 ราย ได้ดำเนินการขึ้น Blacklist ห้ามเข้าราชอาณาจักรแล้ว และประสานงานกับสถานทูตจีนประจำประเทศไทยในการสร้างความร่วมมือปราบปรามนายทุนจีนสีเทาร่วมกันทั้งสองประเทศแล้ว


สำหรับเจ้าหน้าที่รัฐที่มีเอี่ยวนั้น ทาง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า เบื้องต้นยังไม่พบ จนท.ให้การช่วยเหลือในการหลบหนีออกนอกประเทศ มีเพียงแค่ ตม. 2 รายจาก จ.แพร่ และ จ.อุดรธานี ที่มีส่วนในการต่อวีซ่านักเรียนแก่ผู้ต้องหาจีนคดีอุ้มชาวจีนไปตัดนิ้ว ซึ่งได้เรียกมาตรวจสอบข้อเท็จจริงและเตรียมดำเนินคดีแล้ว


ส่วนขบวนการปลอมบัตรประชาชน ทางตำรวจกำลังเร่งสืบสวนหาผู้กระทำความผิด โดยประสานกับทางกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทยในการกวดขัน และป้องกันการปลอมบัตรประชาชน และหาตัวเจ้าหน้าที่ที่มีส่วนเกี่ยวข้องแล้ว


สื่อมวลชนสอบถามว่า ข้อมูล 5 เสือทุนจีนที่ตำรวจมี ตรงกับข้อมูลที่นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ออกมาเปิดเผยก่อนหน้านี้หรือไม่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ บอกว่า ตรงกัน และมีการขยายผลเพิ่มเติมด้วย ส่วนเส้นทางการเงินจะเชื่อมโยงไปถึงจ้าวเหว่ยหรือไม่นั้น ขณะนี้อยู่ในระหว่างตรวจสอบ ซึ่งมีการประสานสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ปปง.แล้ว

--------------

กรณีตำรวจ บช.ปส.จับกุม นายโล จิน อัง (Low Gin Ang) ชาวสิงคโปร์ อายุ 63 ปี และ นายออง เชา เซียง (Ong Shao Xiong) หรือ นายเส้ง ชาวสิงคโปร์  อายุ 34 ปี พร้อมของกลาง โดยจับกุมได้ที่ ห้องพัก ซอยรัชดาภิเษก 5 แขวงและเขตดินแดง กทม. เมื่อวันที่ 27 ต.ค. ที่ผ่านมา

  • เครื่องแพ็กซองยาเสพติด (Vacuum sealer) 1 เครื่อง
  • ซองยาเสพติด ลักษณะคล้ายคลึงกับแบบที่เจ้าหน้าที่ตรวจค้นพบที่ร้านจินหลิง และร้าน Leela 100,000 ซอง
  • ลำโพงขนาดใหญ่ 3 ตัว เพื่อใช้ในการซุกซ่อนยาเสพติดไอซ์ 2 กรัม
  • ยาไอซ์ 482.5 กรัม
  • ไฟว์ไฟว์ 380 เม็ด
  • ยาอี 151 ซอง
  • ยาบ้า 2,050 เม็ด
  • คีตามีน 10 กรัม
  • โคเคน 1 กรัม
  • แฮปปี้วอเตอร์ (Happy Water) 8 ซอง
  • อาวุธปืนไทยประดิษฐ์ 1 กระบอก และ กระสุนขนาด 9 มม. และ .22 รวม 84 นัด 


ความคืบหน้าคดีนี้ เมื่อเวลา 17.00 น. วานนี้ (8 พ.ย. 65) พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผบช.ปส. พร้อมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าตรวจสอบของกลางยาเสพติดที่ได้จากการขยายผลของ พ.ต.อ.วิชัย สนสกุล ผกก.กก.1 บก.ปส.1 บช.ปส. กับพวก


ทำการสืบสวนยึดของกลางได้เพิ่ม ที่ห้องเลขที่  63 อพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่ง ในซอยประชาราษฎร์บำเพ็ญ 20 แขวงสามเสนนอก เขตห้วยขวาง กทม. พร้อมประสานกองพิสูจน์หลักฐานเข้าตรวจสอบ


ภายในพ้องพบว่าเป็นที่พักยาเสพติดของ นายโล จิน อัง พบกระเป๋าเดินทาง 5 ใบ และกล่องพลาสติกขนาดใหญ่ 2 ใบ รวมทั้งอุปกรณ์การเสพจำนวนหนึ่งบนโต๊ะเครื่องแป้ง เจ้าหน้าที่ พฐ.ตรวจสอบภาพในกระเป๋า พบ ไอซ์ น้ำหนัก 200 กิโลกรัม ซุกซ่อนอยู่ รวมถึงซองใส่ยาเสพติด แฮปปี้วอเตอร์ สีเหลือง 400 ชิ้น ชนิดเดียวกับที่พบในร้านจินหลิง อีกด้วย


สำหรับการยึดของกลางเพิ่มสืบเนื่องจาก เจ้าหน้าที่พบกุญแจห้องต้องสงสัย ในตัวนายโล จิน อัง ผู้ แต่ผู้ต้องหาไม่ยอมให้รายละเอียด เจ้าหน้าที่ บช.ปส.จึงใช้วิธีการไล่ตรวจที่พักย่านห้วยขวาง กระทั่งพบว่า เป็นคีย์การ์ดของอพาร์ตเมนต์แห่งนี้ จึงทำการตรวจค้นข้างในพบของกลาง โดยห้องเช่าแบบรายวันใช้เป็นแหล่งพักยาของผู้ต้องหา


พล.ต.ท.สรายุทธ เปิดเผยว่า คดีนี้เป็นการขยายผลมาจากการเคสผู้ต้องชาวสิงคโปร์ 2 ราย ทราบว่าเป็นจุดที่พักดังกล่าวเช่าไว้สำหรับพักยา ยึดยาไอซ์ 200 กิโลกรัม ยาบ้า 2 แสนเม็ด แฮปปี้วอเตอร์ 50 ซอง ยาเคผง 500 ซอง จากการทำงานของ ผบก.ปส.1 ทำการสืบสวนอย่างต่อเนื่อง มีทั้งจำหน่ายภายในประเทศ และส่งออกนอกประเทศ มีหีบห่อซุกในถุงข้าวสาร ซุกยาบ้า ส่งออกนอกประเทศ เครือข่ายของชาวต่างชาติเหล่านี้น่าจะมีคนไทยเป็นนอมินีด้วย อยู่ระหว่างสอบสวนขยายผล สำหรับของกลางทั้งหมดนำไปตรวจบันทึกที่ บก. ปส.1 บช.ปส. ต่อไป
--------------

วานนี้ (8 พ.ย. 65) เวลา 13.00 น. ที่โรงแรม Davis Hotel Corner Wing นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และอดีตผู้ประกอบสถานบริการ ตั้งโต๊ะแฉ “ทุนจีนสีเทา“ ต่อเนื่อง โดยระหว่างที่นายชูวิทย์ เดินเข้ามาที่โต๊ะแถลง มีสุนัขของนายนายชูวิทย์ ชื่อโซเฟีย เดินตามเข้ามาภายในโรงแรม นายชูวิทย์ หันไปเห็นจึงชี้นิ้วไปที่สุนัขแล้วพูดว่า “เฮ้ยสันธนะ เฮ้ยไป”


นายชูวิทย์ บอกกับนักข่าวว่า เรื่องที่จะพูดวันนี้มีทั้งเรื่องไร้สาระและมีสาระ โดยเริ่มจากเรื่องไร้สาระก่อนระบุว่า “เมื่อผมเปิดเรื่องทุนสีเทามีคนเดือดร้อน ทุนจีนสีเทา 5 เสือ มาเฟีย นายสันธนะ ประยูรรัตน์ อดีตนายตำรวจสันติบาล บอกว่ารู้จักดี ใครรู้จักสันธนะ ทุกคนติดคุกหมด อย่างนี้เขาเรียกแบล็คมาเก็ตติ้ง ไม่สามารถโฆษณาได้ทำเป็นมาแสดงแอคอาร์ต มีพาวเวอร์ในวงการสีเทา จริงๆ นายสันธนะ โดนไล่ออกจากราชการตตำรวจ ไปถามดูเมื่อ 20 ปี ก่อน โดนยิงกบาล ลูกน้องตายคารถ ตัวเองหนีทัน หายไปเลย”


นายชูวิทย์ กล่าวอีกว่า “ถ้าคุณรู้จักนายเดวิด ที่ผมบอกหรือรู้จักนายทุนจีนที่ผมบอก ผมไม่ใช่เป็นคนจับ โน้น! ตำรวจ รอง ผบ.ตร.2 คนเป็นคนจับ ถามว่าผิดหรือถูก นายสันธนะ ไม่ใช่ตำรวจ นายสันธนะ เป็นคนที่สูญเสียผลประโยชน์ ก็ออกมาตีโพยตีพายมาจัดการผม ถ้าผมผิดนายสันธนะ ก็ไปแจ้งความเชิญเลย คนที่จะบอกผมผิดหรือไม่ผิด ตำรวจ อัยการ ศาล ไม่ใช่นายสันธนะ”


จากนั้นนายชูวิทย์  ยื่นโทรศัพท์ให้เลขาฯ บอกให้โทรหานายตำรวจคนหนึ่ง ระบุว่า “ผมไม่ได้เตี้ยม ลองโทรตำรวจด้วยกัน ประวัตินายสันธนะ อย่ามาฟังผม ต้องฟังจากตำรวจด้วยกัน ตำรวจคนนี้เป็นตำรวจที่ทุกคนรู้จักและมีประวัติขาวสะอาด ถ้าโทรติดจะเปิดเสียงให้นักข่าวฟัง ไล่ประวัตินายสันธนะ ได้เป็นฉากๆ” แต่นายตำรวจคนดังกล่าวไม่รับโทรศัพท์


ช่วงหนึ่งนายชูวิทย์ กล่าวว่า “จะมีใครมาดูห้องน้ำห้องส้วมผมอีกหรือเปล่า มีใครที่เสียประโยชน์ เรื่องไร้สาระมันเข้าใจง่าย เปิดผับเปิดบาร์เข้าไปเจอยา มันก็มีหมาตัวหนึ่งมาเห่า ผมถือภาษิตหมากัดอย่าไปกัดตอบ มันคนละรุ่นกัน ไอ้นั้นมันรุ่นแฉเด็กๆ ผมไปต่อปากต่อคำก็ใช้เสียงดัง ไม่เป็นไร อยากจะชนชนกัน แผลผมเต็มตัว ติดคุก 3 รอบแล้ว แต่คนพันธุ์นี้ระวังให้ดี เพราะเป็นตำรวจที่ตำรวจด้วยกันไม่เอา คนที่มึงช่วยมันติดคุกมั้ย ติดหมด มาเพื่ออยากให้คนอื่นเห็นเพาเวอร์ว่าตนเองเคลียร์ได้”


นายชูวิทย์ ลั่น “จะปิดผมที่นี่ก็ปิดได้ถ้าผมผิด อาบอบนวด 6 ที่ ผมล้มกระดานมาแล้ว แค่นี้ไม่ได้รู้สึกกับผมหรอก มาปิดแค่นี้เองเหรอจะทำอะไรกูได้ ผมเคยมีอาบอบนวดรับเงินวันละเป็นล้าน เวลามีเรื่องผมก็คว่ำกระดาน เจ๊งเป็นเจ๊ง คุณเข้าข้างใครผมไม่จำเป็นต้องพูด ผมไม่ใช่คนดี อย่าเรียกว่าชูวิทย์เป็นคนดี ผมเป็นคนที่รู้จักเหี้ย รู้จักความเลว รู้จักสันดานคน คนอย่างสันขวาน โทรหาตำรวจสักคนไม่มีใครรับ ไม่มีใครเอากับมึง เขาหายหนีหมด เดินเก็บเงินตามบ่อนบ้าง เดินเรียกราคาไปเรื่อย”


“ดังนั้นการแฉ นายสันขวานต้องหัดเรียนรู้ ทำเป็นรู้เรื่องสีเทาหมด รู้จักคนนั้นคนนี้เรียกราคา เสียผลประโยชน์เยอะ ถ้าไม่เสียผลประโยชน์เยอะจะกล้ามาขนาดนั้นเหรอ เอาตัวมาแลก เอาตำรวจมาตรวจ ขยันขนาดตี 4 เอาเลยตามสบาย ผมผิดจับผมได้”


นายชูวิทย์ ยังระบุอีกว่า “เขาเสียผลประโยชน์ถึงกล้าทำแบบนี้ การที่คุณมาเฝ้าตี 4 ตี 5 ไม่เสียผลประโยชน์คุณมาทำทำไม คนพวกนี้ทำธุรกิจสีเทาไม่มีหุ้นหรอก เขาเรียกหุ้นลม 10 เปอร์เซ็นเดี๋ยวจัดการเคลียร์ให้ เขาหนีหมดเพราไอ้นี่มันโฉ่งฉ่าง ไม่มีใครอยากคุยด้วยเหมือนสกังก์ (สัตว์ชนิดหนึ่งที่ปล่อยกลิ่นเหม็น) พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง

--------------

เมื่อเวลา 16.50 น. วานนี้ (8 พ.ย. 65) นายสันธนะ ประยูรรัตน์ เดินทางมาที่ สน.ทองหล่อ เพื่อติดตามความคืบหน้าคดีที่แจ้งความร้องทุกข์ให้ตรวจสอบสถานบริการประเภทผับในโรงแรมเดวิส ของนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ โดยระบุว่า เนื่องจากได้ให้เวลามาหลายวันแล้ว แต่ไม่มีความคืบหน้าในการสอบสวน ประกอบกับเจ้าของสถานที่ เป็นนักธุรกิจที่มีอิทธิพลด้านการเงินในพื้นที่ จึงเกรงว่า อาจจะไม่มีความเป็นธรรม


วันนี้ ตนจึงได้นำหนังสือถึงผู้กำกับการ สน.ทองหล่อ โดยกำหนด 5 ประเด็นหลักให้พนักงานสอบสวนเร่งดำเนินการ หลักๆ เช่นการ เรียกตัวบุคคลที่ปรากฎในคลิปมาทำการสอบสวน / ตรวจหาสารเสพติด / และการตรวจสอบกล้องวงจรปิดทั้งในและนอกสถานที่ / รวมถึงเรียกพนักงานผู้เชี่ยวชาญเรื่องยาเสพติด และ พนักงานรักษาความปลอดภัย หรือ การ์ด ของสถานบันเทิงดังกล่าว มาทำการสอบสวน เนื่องจากอยู่ในเหตุการณ์ตลอดเวลา นอกจากนี้ ตนยังได้ทำหนังสือโดยตรงไปยังรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ คือ พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ หักพาล และ พลตำรวจเอกต่อศักดิ์ สุขวิมล ให้เร่งรัดในการทำคดีนี้ ทั้งนี้ หากเจ้าหน้าที่ไม่ดำเนินการ ตนถือว่าเป็นการละเลย และละเว้นการปฏิบัติหน้าที่


ส่วนกรณีที่เมื่อช่วงบ่าย นายชูวิทย์ ได้มีการแถลงข่าวและใช้คำพูดพาดพิงถึงตนนั้น ตนพิจารณาแล้ว เห็นว่าเป็นการทำให้ได้รับความเสียหาย เช่น อยู่ๆ มาเรียกตนเป็นสัตว์สี่ขา จึงเตรียมจะดำเนินคดีในข้อหาหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา และการที่นายชูวิทย์ แถลงข่าวเมื่อวานนี้ (8 พ.ย.) ตนมองว่า ไม่ได้มีสาระเรื่องอื่น แต่ตั้งใจจะสื่อสารถึงตนโดยตรง ซึ่งหากจะลืมอดีต และบอกว่าวันนี้ ไม่มีความสัมพันธ์กันอีกต่อไปแล้ว ตนเองก็ยินดีและเต็มใจ จะทำอะไรจะได้ทำได้อย่างเต็มที่


แต่ขอบอกว่า ที่ผ่านมา เป็นฝ่ายของนายชูวิทย์ที่เข้ามาตีสนิทตน ในช่วงที่เริ่มทำธุรกิจ ละตนยังเป็นตำรวจยศสารวัตร ซึ่งนายชูวิทย์ก็มีความยำเกรงตน ไม่ใช่ตนที่เป็นฝ่ายเข้าไปตีสนิทก่อน ทั้งนี้ ขอฝากเตือนถึงบุคคลอื่นด้วยว่า หากจะเข้ามาร่วมวิพากษ์วิจารณ์ตน ก็ขอให้อยู่ในกรอบของกฎหมายด้วย

--------------

นายชูวิทย์ ระบุว่า “นายสันธนะ เป็นตำรวจเด็ก ๆ ไปถูกยิงแถวถนนนครสวรรค์ ใครไปยิงกบาล แถวๆ เตาปูน ตอนนั้นผมใหญ่ นายสันธนะ ยังเป็นตรวจเด็กเมื่อวานซืนอยู่ มาวันนี้ก็พยายามเรียกราคา ออกรายการพูดโน้นนี่ คุณมีหลักฐานก็ไปแจ้งความจับ ตำรวจ พิสูจน์หลักฐานมาตรวจ ถ้าผมผิดก็จับผมสิครับ เรื่องไร้สาระหลายๆ  เรื่องที่ผมพูดติดคุกหมด เพราะสิ่งที่ผมพูดมีหลักฐาน”


“ดังนั้นผมจะสอนให้น้องสันธนะ ฟังว่าหากจะเป็นนักแฉ การพูดมีประโยชน์กับสังคม ให้สังคมให้สื่อไปพิจารณาเอาเองว่าสิ่งที่ผมพูดมีสาระมั้ย ไอ้นี่มันโฉ่งฉ่าง มันอยู่ที่ไหนหัวหน้าแก๊งตายหมด ผมเตือนบ่อนทุกที่ขืนใช้นายสันธนะ เป็นอันชิบหาย”


นักข่าวถามว่าหลังจากที่นายสันธนะ มาที่โรงแรมวิวาทะกันได้มีการพูดคุยกันหรือยัง ? นายชูวิทย์ กล่าวว่า “เลยการพูดคุยแล้ว ผมขอยืนยันนายคนนี้ผมไม่ได้รู้จักมักจี่ด้วย พยายามจะโชว์ให้สื่อเห็นว่าเราเคยนอนคุยกัน โธ๋มึงขนาดนอนคุยกับกูเลยเหรอ นั่งคุยยังไม่เคยเลย ครั้งเดียวที่คุยคือสมัยที่ผมเป็นผู้สื่อข่าวไปสัมภาษณ์ตอนนายสันธนะ ถอดเสื้อร้องไห้ที่ดอนเมือง ตอนบิ๊กโจ๊กไปจับ”

--------------

รับชมผ่านยูทูปได้ที่ : https://youtu.be/xutpEQg6BVY

คุณอาจสนใจ

Related News