เลือกตั้งและการเมือง

เลือก(สัก)ตั้ง Ep 45 : เข้าใจศัพท์การเมือง

โดย paweena_c

12 พ.ค. 2566

12 views

วันนี้เราจะมาอธิบายคำศัพท์การเมืองที่ได้ยินบ่อยๆ แต่อาจจะไม่รู้ความหมายและที่มา วันนี้มาทำความเข้าใจแล้วคุณจะตามข่าวเลือกตั้งได้สนุกยิ่งขึ้น

อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันเลือกตั้ง  ข่าวการเมืองก็มากขึ้นตามลำดับ หลายคนเป็นคอการเมืองอาจจะตามการเมืองด้วยความสนุกสนานและมีความเข้าใจอย่างดี  ขณะที่อีกหลายๆคนก็อยากรู้ แต่ก็ยังไม่เข้าใจดีนัก เพราะมีศัพท์แปลกๆ

วันนี้เราจะมาทำความเข้าใจศัพท์การเมืองที่จะได้ยินบ่อยๆ  เพื่อจะได้หายสงสัยว่า เอ๊...คำคำนี้จริงๆแปลว่าอะไรกันแน่

คำแรก เราได้ยินบ่อยมาก  คือคำว่า “แลนด์สไลด์” แปลกันแบบตรงตัวก็ดินถล่ม แต่ในทางการเมืองคือการชนะการเลือกตั้งแบบถล่มทลาย เป็นฉันทามติ ถ้ายังนึกไม่ออกให้นึกภาพการเลือกตั้งผู้ว่า กทม.​ ครั้งที่ผ่านมา นั่นแหละแลนด์สไลด์ หรือการเลือกตั้งของประเทศพม่าเมื่อปี 2563 พรรคของ ออง ซาน ซูจี  ที่ได้ 322  ที่นั่งจาก 498 ที่นั่ง ซึ่งคราวนี้ก็มีพรรคการเมืองที่ตั้งเป้าแลนด์สไลด์เพื่อเอาชนะเสียงของ ส.ว. ในการเลือกนายกรัฐมนตรีให้ได้

คำต่อมาคือ “รัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ” ง่ายๆก็คือรัฐบาลที่มีเสียงเกินครึ่งมานิดเดียว  โดยอาจจะได้เสียงเพียง 250 - 260 ที่นั่ง จากทั้งหมด 500 ที่นั่ง ซึ่งหมายความว่า หากฝ่ายค้านเข้าประชุมครบทุกคน ฝ่ายรัฐบาลก็ต้องเข้าประชุมให้ครบเช่นกันไม่เช่นนั้นอาจแพ้โหวต อุปมาก็เหมือนคนจะจมน้ำ คืออยู่แบบปริ่มๆ อีกนิดเดียวก็จะจม

คำต่อมาคือ “แทงกั๊ก” แปลตรง ๆ ก็คือยังไม่ยอมบอกว่าจะเข้าข้างหรือมีความเห็น จุดยืนไปในทางใดทางหนึ่ง ต้นทางคำว่า “แทงกั๊ก” มาจากการพนันที่เรียกว่า “โป” เป็นการแทงสองทาง คือถ้าออกสองตัวตามที่แทงไว้ก็จะได้เงิน พอจะนึกภาพออกหรือยังว่า แทงกั๊กจริงๆแล้วเป็นอย่างไร  

ต่อมาคือ “แบ่งเค้ก” เอาง่ายก็คือแบ่งผลประโยชน์กันนั่นเอง เปรียบเหมือนมีเค้กอยู่ก้อนหนึ่งจะกินกันหลายๆคนก็ต้องแบ่งใช่ไหม นั่นแหละที่มาของคำว่าแบ่งเค้ก

มาดูอีกคำที่หลายคนสงสัยคือคำว่า “ล็อบบี้” ความหมายทางการเมืองคือการ “วิ่งเต้น” หรือชักจูงเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการ หรือให้ลงมติไปในทางที่ต้องการ  จุดเริ่มต้นก็มาจากความหมายตรงตัวของคำว่าล็อบบี้ คือ “ห้องนั่งเล่น” หรือ “ห้องพักผ่อน” ซึ่งการล็อบบี้จากการบันทึกครั้งแรกก็เกิดขึ้นใน “ห้องล็อบบี้” ของสมาชิกรัฐสภา ของสหรัฐ​ โดยเป็นการรวมตัวของสมาชิกรัฐสภาเพื่อให้ได้มาซึ่งเสียงสนับสนุนในการลงมติ ซึ่งต่อมาการล็อบบี้ก็ขยายวงกว้างขึ้นไปสู่วงต่างๆ

และคำว่า “ล็อบบี้” ก็มาคู่กับ คำว่า “ล็อบบี้ยิสต์” หรือนักล็อบบี้นั่นเอง เพราะจะมีคนประเภทหนึ่งที่มีความสามารถในการโน้มน้าวหรือเจรจา ดังนั้นเวลาใครบางคนต้องการจะเจรจาโน้มน้ว แต่ตัวเองไม่มีความสามารถหรือไม่สามารถทำออกนอกหน้าได้ก็จะว่าจ้างหรือไหว้วานล็อบบี้ยิสต์ให้ทำแทน ซึ่งล็อบบี้ยิสต์มักจะช่ำชองในการเจรจาและมีคอนเนกชั่นที่หลากหลาย ที่สำคัญล็อบบี้ยิสต์นี่ค่าไหว้วานไม่น้อยเลย

คำต่อมาเป็นภาษาอังกฤษที่เรียกว่า “แคนดิเดต” ครั้งนี้เราก็ใช้คำว่า “แคนดิเดตนายกฯ” แคนดิเดต แปลว่าผู้สมัคร ถ้าเป็นแคนดิเดตนายกฯ​ก็คือผู้สมัครนายกฯ หรือ ส.ส. ก็เป็นแคนดิเดต ส.ส. เช่นเขตเลือกตั้งนี้มีใครเป็นแคนดิเดตบ้าง

ศัพท์คำถัดมาคือคำว่า “งูเห่า” ศัพท์คำนี้เริ่มต้นมาจากนิทานชาวนากับงูเห่า ที่ชาวนาช่วยงูเห่าเอาไว้แต่สุดท้ายถูกแว้งกัด  แต่ถูกนำมาใช้ทางการเมืองครั้งแรก ครั้งปี 2540 ตอนนั้นพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ลาออกจากตำแหน่งนายกฯ​ จากปัญหาการลอยตัวค่าเงินบาท โดยพรรคร่วมรัฐบาลเดิมต้องการสนับสนุน พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ​ เป็นนายกฯ​ แต่ อีกฟากฝ่ายค้านก็สนับสนุนคุณชวน หลีกภัย  

ทีนี้ฝ่ายค้านเดิมก็ไปดึงเสียงพรรคร่วมรัฐบาลมาได้สองพรรคพรรคคือพรรคเสรีธรรม และ กิจสังคม แต่คะแนนก็ยังแพ้พรรครัฐบาลเดิมหนึ่งเสียง ส่วนพรรคอื่นก็ยังไม่ยอมแยกตัว ทำให้ตอนนั้น “เสธ.หนั่น”​พล.ต.​สนัน ขจรประศาสน์ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ มองเกมด้วยการดึง “ส.ส.” กลุ่มหนึ่งจากพรรคประชากรไทย ของคุณสมัคร สุนทรเวช ทำให้พรรคฝ่ายค้านตอนนั้นพลิกกลับมาชนะ ท่ามกลางความเจ็บแค้นของคุณสมัคร และคุณสมัครทุกคนก็รู้อยู่แล้วว่าเป็นเจ้าสำบัดสำนวน จึงยกนิทาน “ชาวนากับงูเห่า” ขึ้นมาเปรียบกับกรณีนี้ เพราะ กลุ่มที่แยกตัวออกไปคือกลุ่มของนายวัฒนา อัศวเหม ซึ่งมีชื่อเสียงไม่ดีจนไม่มีพรรคไหนรับ แต่พรรคประชากรไทยรับมา แต่สุดท้ายก็ตีตัวจากซึ่งคุณสมัครมองว่าเป็นการหักหลัง จนเปรียบเป็นงูเห่าที่ทรยศชาวนาอย่างคุณสมัคร

“รับกล้วย” คำนี้เพิ่งเกิดเมื่อไม่นาน จากรัฐบาลที่ผ่านมานี่เอง โดยขณะนั้นมีปัญหาเรื่องการลงมติและความไม่พอใจของพรรคเล็ก นาทีนั้น พล.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ที่ว่ากันว่าเป็นผู้ดีลพรรคเล็ก ก็ออกมาเดินเกมจนสยบความขัดแย้งก่อนจะหลุดวาทะ “ผมเปรียบเหมือนคนเลี้ยงลิง เลยต้องเอากล้วยให้ลิงกินตลอดเวลา ขณะนี้เชื่อว่ากินจนอิ่มแล้ว น่าจะพอได้แล้ว" ทำให้ถูกมองว่า พรรคเล็ก รับ “กล้วย” หรือผลประโยชน์  นี่เองจึงกลายเป็นศัพท์ทางการเมืองใหม่ ที่แปลว่าการแจกผลประโยชน์ให้ ส.ส.​เพื่อให้สนับสนุนตัวเอง

และคำสุดท้ายคำว่า “กิโล” มาจากการบอกว่าให้เงินกี่กิโลกรัม ซึ่งไม่มีใครยอมรับว่ารับเงินกี่กิโลกรัม แต่มีการขยายความว่าเงินหนึ่งล้านบาทเท่ากับหนึ่งกิโลกกรัม นี่จึงเป็นที่มาของการบอกว่าให้ หนึ่งกิโล สิบกิโล

เป็นไงบ้างศัพท์การเมือง จากนี้ไปอาจจะทำให้ตามข่าวการเมืองได้สนุกขึ้น


คุณอาจสนใจ

Related News