เลือกตั้งและการเมือง
ไม่รอด! ‘พิธา - ก้าวไกล’ เสนอแก้ ม.112 เข้าข่ายล้มล้างการปกครอง ให้หยุดการกระทำ
31 ม.ค. 2567
314 views
ศาล รธน. ชี้ “พิธา - ก้าวไกล” รณรงค์หาเสียงแก้ ม.112 เป็นการใช้สิทธิซ่อนเร้นเพื่อล้มล้างการปกครอง ชี้เป็นเจตนาลดความคุ้มครอง ดึงสถาบันฯ เป็นคู่ขัดแย้งทางการเมือง สั่งเลิกแสดงความเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์ เพื่อให้ยกเลิกหรือแก้ไข ม.112
วันที่ 31 ม.ค.2567 ศาลรัฐธรรมนูญได้อ่านคำวินิจฉัย กรณีที่ นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร อดีตทนายความของอดีตพระพุทธะอิสระ ขอให้ศาลพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 ว่าการกระทำของ นาย พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลในขณะนั้น และพรรคก้าวไกล เสนอร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมาย เพื่อยกเลิกมาตรา 112 โดยใช้เป็นนโยบายหาเสียงเลือกตั้ง และยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่องนั้น เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครอง หรือไม่
โดยศาลรัฐธรรมนูญระบุว่า รธน.มาตรา 49 วรรคหนึ่งระบุว่าจะใช้สิทธิเสรรีภาพในการล้มล้างการปกครองไม่ได้ และเมื่อทราบว่ามีการกระทำสามารถร้องต่อศาลให้มีคำสั่งให้เลิกการกระทำได้ โดยผู้ร้องระบุว่าเมื่อ 25 มี.ค.2564 สส.ก้าวไกล 44 คน เสนอแก้ไขกฎหมาย ม.112 ยื่นต่อประธานสภาผู้แทนราษฎรและระหว่างการหาเสียง ก็มีการใช้นโยบายนี้หาเสียงเลือกตั้งอย่างต่อเนื่อง และมีพฤติการณ์รณรงค์ให้ยกเลิกกฎหมายดังกล่าวเรื่อยมา และมี กก.บก. สส. และสมาชิกพรรคผู้ถูกร้องเป็นผู้ต้องหาเป็นนายประกันผู้ต้องหาตามาตราดังกล่าว และมีการแสดงความคิดเห็นให้แก้ไขและยกเลิกกฎหมายดังกล่าวหลายครั้ง ขณะที่ผู้ถูกร้องแก้ข้อกล่าวหาว่าเป็นการคาดคะเน และไม่ได้มีข้ออ้างที่เป็นหลักว่ากระทำการล้มล้างอย่างไร ทำให้ไม่อาจเข้าใจได้และไม่ชอบต่อวิธีพิจารณาความของศาลรัฐธรรมนูญ
ศาลจึงเห็นว่าคำร้องมีความชัดเจนเพียงพอและสามารถต่อสู้คดีได้จึงชอบด้วย พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีของศาล รธน.
ส่วนจะเป็นการใช้สิทธิเพื่อล้มล้างการปกครองหรือไม่ โดยเห็นว่าการตรากฎหมาย เป็นอำนาจในการตรากฎหมายเพื่อกำหนดระเบียบแห่งความสัมพันธ์ของบุคคล หรือบุคคลกับรัฐ การที่จะอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข ต้องมีกฎเกณฑ์ที่ชัดเจน รัฐสภาเป็นองค์กรหลักในการใช้อำนาจอธิปไตยตามรัฐธรรมนูญและบทบัญญัติใดขัดต่อรัฐธรรมนูญย่อมใช้ไม่ได้ และการพิจารณาต้องพิจารณาไม่ขัดต่อหลักการและกระบวนการพิจารณาต้องไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ
แม้การเสนอกฎหมายเป็นวิธีการทางรัฐสภา แต่เมื่อร่างกฎหมายผ่านกลไกนิติบัญญัติ ศาล รธน. ยังมีหน้าที่ในการตรวจสอบความชอบได้ ถือเป็นการตรวจสอบและถ่วงดุลฝ่ายนิติบัญญัติ การที่กำหนดอำนาจหน้าที่ในการตรวจสอบโดยมิได้บัญญัติยกเว้นการกระทำใดเฉพาะ การเสนอร่างกฎหมายในฝ่ายนิติบัญญัติย่อมถูกตรวจสอบได้
และ รธน. มารตรา 49 มีจุดมุ่งหมายเพื่อปกป้องระบอบการปกครองของประเทศ ซึ่งมีระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยมีสองส่วนคือประชาธิปไตย และ มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่ง รธน. ในอดีตก็มีการปกป้อง เพื่อให้ดำรงอยู่ของหลักการ บทบัญญัตินี้คุ้มครองไม่ให้มีการใช้สิทธิเสรีภาพ ในการทำลายหลักฐานของ รธน. และทำลายรากฐานของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ได้กำหนดความผิดและอัตราโทษผู้ที่แสดงความอาฆาตมาดร้าย พระมหากษัตริย์ หากทำผิดต้องได้รับโทษทางอาญา สอดคล้องกับระบอบการปกครองประเทศ และที่บัญญัติให้มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขเป็นการสืบมาจากประเพณี และพระองค์อยู่ในสถานะเป็นที่เคารพสักการะจะละเมิดไม่ได้ จึงมีความชอบธรรมที่ต้องมีกฎหมายคุ้มครองสถาบันหลักของประเทศ
การที่ผู้ถูกร้องและ สส.ของพรรค ได้เสนอร่างแก้ไข ม.112 ยื่นต่อประธานสภาผู้แทนราษฎรเมื่อปี 2564 มีเนื้อหาแก้ไข จากเดิมที่เป็นหมวดความมั่นคง ให้เป็นความผิดเกี่ยวกับพระเกียรติฯ ซึ่งการที่ประมวลกฎหมายอาญาได้แบ่งความผิดเป็น 13 ลักษณะ
แม้ผู้ถูกร้องจะโต้แย้งว่าไม่ได้บัญญัติลำดับศักดิ์ และหมวดหมู่ แต่มาตรา 112 อยู่ในความมั่นคงแห่งรัฐ สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญมาตรา 2 สถาบันพระมหากษัตริย์มีความสำคัญต่อประเทศ การกระทำความผิดต่อสถาบันพระมหากษัตริย์จึงเป็นความผิดต่อความมั่นคงของประเทศ เป็นความมุ่งหวังให้ความผิดมาตรานี้เป็นความผิดที่ไม่มีความสำคัญและร้ายแรง มีเจตนามุ่งหมายแยกสถาบันพระมหากษัตริย์และชาติไทยออกจากกัน ศาล รธน.เคยวางหลักว่าการทำความผิดตาม ม.112 ว่ามีลักษณะที่ร้ายแรงกว่าความผิดต่อบุคคลธรรมดา จึงไม่มีบทบัญญัติยกเว้นความผิดหรือ ยกเว้นโทษไว้ การที่ผู้ถูกร้องเสนอให้เพิ่มบทบัญญัติให้เพื่อเหตุยกเว้นความผิด โดยระบุว่าหากติชมโดยสุจริตเพื่อรักษาไว้ซึ่งการปกครองและดำรงซึ่งรัฐธรรมนูญ และบอกว่าหากไม่เป็นความจริงไม่ต้องรับโทษ ยิ่งจะทำให้คนทำผิดอ้างว่าเป็นการเข้าใจผิดขอพิสูจน์ความผิดในทุกคดี ทั้งที่ความผิดมีความร้ายแรงมากกว่าความผิดต่อบุคคลธรรมดา และต้องมีการสืบพยานระหว่างคู่ความต้องพาดพิงสถาบันฯ อันอยู่ในสถานะอันควรเคารพสักการะผู้ใดจะละเมิดมิได้ และทำให้ข้อความกระจายสู่สาธารณะ
และการเสนอให้เป็นความผิดยอมความได้ และให้สำนักพระราชวังเป็นผู้ร้องทุกข์ มุ่งหมายให้การกระทำความผิดกลายเป็นเรื่องส่วนพระองค์ของพระมหากษัตริย์เป็นการลดการคุ้มครองไม่ให้รัฐเป็นผู้เสียหาย และให้พระมหากษัตริย์เป็นคู่ขัดแย้งกับประชาชน
ดังนั้นแม้การเสนอแก้ไข ม.112 จะเป็นอำนาจหน้าที่สภาผู้แทนราษฎร และไม่ผ่านการพิจารณาในขณะนั้น ขณะที่หาเสียงก็มีการเสนอแก้ แม้ไม่มีการระบุว่าเป็นประเด็นใด แต่ในเว็บไซต์ของพรรคกลับมีการจะเสนอทำนองเดียวกับที่เคยเสนอเมื่อปี 2564 ดังนั้นถือได้ว่าพรรคผู้ถูกร้อง เป็นการแสดงเจตนาในการลดการคุ้มครองสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยผ่านวิธีการซ่อนเร้นผ่านรัฐสภา และยังมีการเสนอผ่านนโยบายพรรคหากประชาชนไม่รู้เจตนาแท้จริงอาจหลงตามนโยบายพรรค การที่ผู้ถูกร้องใช้การเสนอกฎหมายเพื่อลดสถานะสถาบันฯเป็นนโยบายพรรคหาเสียง เป็นการใช้สถาบันฯมาหาเสียงเลือกตั้ง และให้สถาบันเป็นฝักฝ่ายทางการเมือง นำมาซึ่งการติเตียนโดยไม่คิดถึงหลักการ พระมหากษัตริย์อยู่เหนือและเป็นกลางทางการเมือง โดยมีเจตนาเซาะกร่อนบ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์
ส่วนที่บอกว่า รธน. มาตรา 49 ใช้กับบุคคลธรรมดาไม่ได้ใช้กับพรรคการเมือง แต่เมื่อดูหมวดสามประกอบจะพบว่าไม่ได้ใช้เฉพาะบุคคลธรรมดาเท่านั้น โดยบัญญัติหน้าที่ของพรรคการเมืองในการส่งเสริมการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
นอกจากนี้ ยังมีสมาชิกพรรคที่เป็น สส.จัดชุมนุมเพื่อยกเลิก ม.112 มีการรณรงค์ให้แก้ไข ม.112 มีพฤติการสนับสนุนให้ยกเลิกโดยโพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊กส่วนตัวและเป็นนายประกันให้ผู้กระทำผิดตามมาตรา 112 เช่น นายชัยธวัช ตุลาธน หรือ นายรังสิมันต์ โรม และมี สส.ของพรรค พฤติกรรมกระทำผิดหลายราย เช่น นายปิยรัฐ จงเทพ น.ส.รักชนก ศรีนอก ย่อมแสดงให้เห็นว่าพรรคผู้ถูกร้องเป็นกลุ่มการเมืองที่ต้องการเปลี่ยนแปลงหรือยกเลิกกฎหมายที่คุ้มครองสถาบันพระมหากษัตริย์ และในการชุมนุมที่แหลมฉบังซึ่งถามว่าควรยกเลิกมาตรา112 หรือแก้ไข และมีการติดสติกเกอร์ติดในช่องเห็นด้วย แม้นายพิธาแย้งว่าเป็นการบริหารสถานการณ์ แต่มีหนังสือของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่ามีคนเสนอยกเลิก ม.112 เข้ามาพรรคก็จะสนับสนุน และบอกว่ามีผู้เสนอแก้ไข หากไม่แก้ไขก็จะยกเลิก แสดงให้เห็นถึงทัศนคติที่จะยกเลิก ม.112
เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่ามีการใช้สิทธิเสรีภาพในการทำลายการปกครองระบอบประชาธิปไตย โดยซ่อนเร้นผ่านการแก้ไข ม.112 และมีการทำอย่างต่อเนื่องเป็นกระบวนการ การปล่อยให้ใช้สิทธิต่อไปจะเป็นการล้มล้างการปกครองฯ
จึงวินิจฉัยว่าการกระทำของทั้งสองเป็นการล้มล้างการปกครอง และสั่งการให้เลิกการกระทำ เลิกแสดงความเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์ เพื่อให้ยกเลิกหรือแก้ไข ม.112
แท็กที่เกี่ยวข้อง พรรคก้าวไกล ,ศาลรัฐธรรมนูญ ,ม.112 ,ล้มล้างการปกครอง