เลือกตั้งและการเมือง
‘เรืองไกร’ เล็งยื่นสอบกราวรูด นักการเมืองยันลูกเมียถือหุ้นสื่อ ยังติดใจ ‘พิธา’ รอด มีหุ้นเดียวก็ผิดแล้ว
โดย nicharee_m
25 ม.ค. 2567
273 views
‘เรืองไกร’ เตรียมยื่น กกต.สอบกราวรูด ‘รมต.- สส.- สว. ยันลูก-เมีย’ หลังศาลชี้ ‘พิธา’ รอดหุ้นไอทีวี ยังติดใจถือหุ้นเดียวก็ผิดแล้ว
เมื่อเวลา 09.20 น. วันที่ 25 มกราคม 2567 ที่รัฐสภา นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ยังคงเป็น สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล และกลับเข้ามาทำงานในสภาวันนี้ จากปมถือหุ้นไอทีวี ยังมีประเด็นใดติดใจอีกหรือไม่ว่า มีประเด็นเรื่องหนึ่งหุ้นก็ผิด เพราะเป็นเรื่องที่ต้องหาข้อเท็จจริง ของนักการเมืองรัฐมนตรี สส.และ สว. รวมถึงคู่สมรส และบุตรด้วย
ซึ่งตนมองว่า การ ซื้อ-ขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ บางทีซื้อเช้าขายบ่าย จะไม่ปรากฏอยู่ในสำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น หรือบอจ.5 รวมถึง บัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นของบริษัท หรือบมจ.006 จึงเตรียมยกร่างคำร้องยื่นต่อกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ไปไล่ตรวจสอบ สส.ทั้งหมดว่าในระหว่างการดำรงตำแหน่ง มีใครซื้อขายหุ้นที่เป็นหุ้นสื่อ ที่มีอยู่ในตลาดหลักทรัพย์หลายตัว เพราะหลายคนแจ้งบัญชีทรัพย์สินต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2566 ซึ่งมีหลายคนบอกว่ามีบัญชีหุ้น
นายเรืองไกร กล่าวต่อว่า ส่วนเหตุผลที่นึกถึงเรื่องนี้เพราะเคยยื่นคำร้อง สส.ไปคนหนึ่ง ที่แจ้งบัญชีว่าไปถือหุ้นสื่อแห่งหนึ่ง เพิ่งทราบข้อเท็จจริงว่า เขาซื้อหุ้น หลังจากเป็น สส.แล้ว จึงทำให้คิดว่า ความไม่รู้ของเขาอาจเกิดจากโบรกเกอร์ซื้อขายหุ้นในนามของเขา เมื่อเห็นตัวอย่างเช่นนี้ จึงมีหน้าที่ต้องดูทั้งหมด โดย กกต.ต้องไปขอข้อมูลในทั้งหมดมา ซึ่งตนคงใช้เวลาร่างคำร้องประมาณ 1-2 สัปดาห์ โดยจะขอให้ตรวจสอบไปถึงคู่สมรส และบุตรด้วย เพราะเป็นลักษณะต้องห้าม และขัดกันของผลประโยชน์ จึงเป็นหน้าที่ของ กกต.ต้องตรวจสอบ ถ้าเจอก็ต้องส่งศาล และระบบสามารถดึงข้อมูลมาได้อยู่แล้ว เชื่อว่าคงไม่ใช้เวลานาน
“เราสงสัยว่าระหว่างอยู่กัน 4 ปี ก่อนพ้นจากตำแหน่งไปขายหุ้นออก แล้วช่วงนี้ก็ทำกำไรไปก่อน ซึ่งถือเป็นลักษณะต้องห้าม” นายเรืองไกรกล่าว
นายเรืองไกร กล่าวด้วยว่า กรณีที่ศาลวางหลักว่าหุ้นเดียวก็ไม่ได้นั้น คงไปตอบหลายคนที่คำนวณสัดส่วนหุ้น ซึ่งตนก็ไม่ได้แปลกใจอะไรในเรื่องนี้ เพราะตอนที่เป็น สว.เคยร้องเรื่องหุ้นสัมปทานมาแล้ว ซึ่งศาลวินิจฉัยมาแล้วว่าหุ้นเดียวก็ถือไม่ได
ส่วนกรณีนายพิธา ศาลวินิจฉัยว่า มีการถือหุ้นจริง แต่หุ้นดังกล่าวไม่ถือว่า เป็นหุ้นสื่อแล้ว เนื่องจากงบการเงิน 5 ปีย้อนหลังและสัญญาที่ถูกยกเลิก และไอทีวีไปฟ้องเรียกค่าเสียหายและให้คืนคลื่น ซึ่งตรงนี้เข้าใจได้ ว่าฟ้องให้คืนคลื่นไม่ได้เนื่องจากเป็นกฎหมายที่ออกมาแล้วว่าให้เอาคลื่นนี้ไปให้ Thai PBS