สังคม
ศาลปกครองสูงสุด เพิกถอนกฎกระทรวงฯ "ทรงผมนักเรียน" ย้ำครูไม่มีสิทธิ์เอาผิด นร.ไว้ผมผิดระเบียบ
โดย panwilai_c
5 มี.ค. 2568
157 views
ศาลปกครองสูงสุด พิพากษาเพิกถอนกฎกระทรวงฯ ข้อกำหนดเกี่ยวกับการไว้ทรงผมของนักเรียนที่ไม่เหมาะสมแก่สภาพ เหตุเป็นการจำกัดเสรีภาพในร่างกาย
ศาลปกครองสูงสุด มีคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ ฟร. 24/2563 เพิกถอน กฎกระทรวง ฉบับที่ 2 (พ.ศ.2518) ออกตามความในประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 132 ซึ่งเป็นข้อกำหนดเกี่ยวกับการไว้ทรงผมของนักเรียนที่ไม่เหมาะสมแก่สภาพของนักเรียน
ศาลปกครองสูงสุดพิจารณาแล้วเห็นว่า กฎกระทรวง ฉบับที่ 2 (พ.ศ.2518) ออกตามความในประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 132 ซึ่งกำหนดว่า การแต่งกาย และความประพฤติดังต่อไปนี้ ถือว่าไม่เหมาะสมแก่สภาพของนักเรียน นักเรียนชายดัดผมหรือไว้ผมยาวจนด้านข้างและด้านหลังยาวเลยตีนผมหรือไว้หนวดไว้เครา นักเรียนหญิงดัดผมหรือไว้ผมยาวเลยต้นคอ หากทางโรงเรียนหรือสถานศึกษาใดอนุญาตให้ไว้ผมยาวเกินกว่านั้น ก็ไม่รวบให้เรียบร้อย นักเรียนใช้เครื่องสำอางหรือสิ่งปลอมเพื่อการเสริมสวยนั้น
มีสาระสำคัญ เป็นการกำหนดข้อห้ามเกี่ยวกับทรงผมและการใช้เครื่องสำอางของนักเรียน ตั้งแต่ระดับประถมศึกษาถึงมัธยมศึกษา กรณีถือได้ว่าเป็นกฎที่มีผลเป็นการจำกัดเสรีภาพในร่างกายของบุคคลผู้มีสถานะเป็นนักเรียน โดยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 132 ลงวันที่ 22 เม.ย.2515 ซึ่งเป็นฐานอำนาจในการออกกฎกระทรวงดังกล่าว
ระบุเหตุผลว่า เพื่อให้นักเรียนและนักศึกษาเป็นเยาวชนที่กำลังสร้างสมคุณสมบัติทั้งในด้านความรู้ ความคิดและคุณธรรม พร้อมรับมรดกตกทอดจากผู้ใหญ่เป็นพลเมืองดีมีประโยชน์แก่ประเทศชาติในอนาคต
นักเรียนและนักศึกษาควรจะได้รับการอบรมดูแลใกล้ชิดจากบิดามารดา ผู้ปกครอง และครูอาจารย์ เพื่อเป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา เป็นศิษย์ที่ดีของครู อยู่ในโอวาทคำสั่งสอน รวมทั้งอยู่ในระเบียบประเพณีและกฎหมายของบ้านเมือง
เมื่อต่อมาได้มีการประกาศใช้พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 ปรากฏหลักการและเหตุผลในการประกาศใช้พ.ร.บ.นี้ว่า ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 132 ลงวันที่ 22 เม.ย.2515 กำหนดสาระสำคัญและรายละเอียดเกี่ยวกับวิธีการสงเคราะห์ คุ้มครองสวัสดิภาพ และส่งเสริมความประพฤติเด็ก ไม่เหมาะสมกับสภาพสังคมปัจจุบัน
โดยมาตรา 22 วรรคหนึ่ง แห่งพ.ร.บ.ดังกล่าว บัญญัติว่า การปฏิบัติต่อเด็กไม่ว่ากรณีใด ให้คำนึงถึงประโยชน์ของเด็กเป็นสำคัญ มาตรา 26 วรรคหนึ่ง (1) บัญญัติห้ามมิให้ผู้ใดกระทำการอันเป็นการทารุณกรรมต่อร่างกายหรือจิตใจของเด็ก และ
กฎกระทรวงกำหนดแนวทางการพิจารณาว่าการกระทำใดเป็นไปเพื่อประโยชน์สูงสุดของเด็กหรือเป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อเด็ก พ.ศ. 2549 กำหนดว่า การกระทำเพื่อประโยชน์สูงสุดของเด็ก ให้พิจารณาถึง (1) ลักษณะเฉพาะตัวของเด็กแต่ละคน (2) ความเหมาะสม ความต้องการ และความจำเป็นของเด็ก
ศาลปกครองสูงสุดเห็นว่า เจตนารมณ์ของประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 132 ลงวันที่ 22 เม.ย.2515 และกฎกระทรวง ฉบับที่ 2 (พ.ศ.2518) ที่กำหนดข้อห้ามสำหรับนักเรียนเกี่ยวกับการไว้ทรงผมและการใช้เครื่องสำอาง ระบุวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความเป็นพลเมืองดีเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ การเป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา การเป็นศิษย์ที่ดีของครู โดยกำหนดให้อยู่ในคำสั่งสอนและโอวาทของผู้ใหญ่และระเบียบประเพณี
โดยมิได้คำนึงถึงสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป และพัฒนาการของอัตลักษณ์และบุคลิกภาพของเด็กในแต่ละช่วงวัยจากช่วงวัยเด็กเล็ก อายุ 6-7 ปี จนถึงช่วงวัยรุ่นอายุ 13-16 ปี ซึ่งมีสถานะนักเรียนที่อยู่ในบังคับของกฎกระทรวงดังกล่าว
กรณีจึงไม่อาจถือได้ว่าประกาศของคณะปฏิวัติฯ และกฎกระทรวงที่พิพาท เป็นกฎที่คำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของเด็กเป็นสำคัญ และยังอาจมีการบังคับใช้กฎที่พิพาทนั้นอย่างเคร่งครัดจนมีผลร้ายต่อจิตใจของเด็ก ที่มีความหลากหลายของอัตลักษณ์ทางเพศ อันเป็นการขัดกับหลักการและบทบัญญัติแห่งพ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 จึงต้องถือว่าเป็นกฎที่ถูกยกเลิกไปโดยมาตรา 3 แห่งพ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก
เนื่องจากมีเจตนารมณ์ที่ขัดกับหลักการและบทบัญญัติมาตรา 22 วรรคหนึ่งแห่งพ.ร.บ.ดังกล่าว
อีกทั้งตามมาตรา ๖๔ แห่งพ.ร.บ.เดียวกัน ได้กำหนดว่า นักเรียนและนักศึกษาต้องประพฤติตนตามระเบียบของโรงเรียนหรือสถานศึกษา และรมว.ศึกษาธิการ ได้ออกกฎกระทรวงกำหนดความประพฤติของนักเรียนและนักศึกษา พ.ศ.2548 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2562
แม้จะมิได้มีข้อกำหนดเกี่ยวกับทรงผมนักเรียนไว้อย่างเฉพาะเจาะจง แต่โรงเรียนหรือสถานศึกษา อาจกำหนดระเบียบเกี่ยวกับการไว้ทรงผมนักเรียนไว้เป็นองค์ประกอบย่อยของข้อกำหนดเกี่ยวกับการแต่งกาย โดยพิจารณาให้สอดคล้องตามหลักการเพื่อประโยชน์สูงสุดของเด็กและคำนึงถึงการพัฒนาอัตลักษณ์และบุคลิกภาพที่เหมาะสมตามช่วงอายุของนักเรียนได้
ประกอบกับเมื่อพิจารณาเนื้อหาของกฎกระทรวงฉบับที่พิพาท ซึ่งกำหนดลักษณะทรงผมของนักเรียน โดยมิได้คำนึงถึงพัฒนาการของบุคลิกภาพของเด็กในแต่ละช่วงวัยและความหลากหลายของอัตลักษณ์ทางเพศของบุคคล
จึงมีผลเป็นการจำกัดเสรีภาพในร่างกายของบุคคลเกินสมควรแก่เหตุ ซึ่งกระทำมิได้ตามมาตรา 26 วรรคหนึ่ง ของรัฐธรรมนูญ ที่บัญญัติว่าการตรากฎหมายที่มีผลเป็นการจำกัดสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลต้องไม่เพิ่มภาระหรือจำกัดสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลเกินสมควรแก่เหตุและจะกระทบต่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของบุคคลมิได้ กฎกระทรวงดังกล่าว จึงเป็นกฎที่ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ
พิพากษาให้เพิกถอนกฎกระทรวง ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2518) ลงวันที่ 6 ม.ค.2518 ออกตามความในประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 132 ลงวันที่ 22 เม.ย.2515 นับแต่วันที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษา
ต่อมาเพจเฟซบุ๊ก นักเรียนเลว โพสต์แชร์สรุปข่าวประเด็นนี้ พร้อมระบุว่า ศาลปกครองสูงสุดเพิกถอนกฎกระทรวง ’ทรงผมนักเรียน’ เหตุขัดหลักสิทธิเด็ก
5 มีนาคม 2568 ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาให้เพิกถอนกฎกระทรวง ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2518) ที่ออกตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 132 ซึ่งกำหนดข้อห้ามเกี่ยวกับการไว้ทรงผมและการใช้เครื่องสำอางของนักเรียน โดยระบุว่ากฎดังกล่าวไม่เหมาะสมกับสภาพสังคมปัจจุบัน และขัดกับ พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546
กฎกระทรวงที่ถูกเพิกถอนมีเนื้อหากำหนดให้นักเรียนชายห้ามไว้ผมยาวเกินตีนผม หรือไว้หนวดเครา ส่วนนักเรียนหญิงห้ามไว้ผมยาวเกินต้นคอ และห้ามใช้เครื่องสำอาง โดยศาลเห็นว่าการบังคับใช้กฎนี้อย่างเคร่งครัดอาจกระทบต่อจิตใจของเด็ก โดยเฉพาะเด็กที่มีความหลากหลายทางเพศ
ศาลระบุว่ากฎกระทรวงดังกล่าวไม่ได้คำนึงถึงสังคมที่เปลี่ยนไป รวมถึงพัฒนาการของอัตลักษณ์และบุคลิกภาพของเด็กในแต่ละช่วงวัย ซึ่งอาจถือเป็นการละเมิดเสรีภาพในร่างกาย ขัดกับหลักการสิทธิเด็ก ที่ระบุว่าการปฏิบัติต่อเด็กต้องคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของเด็กเป็นสำคัญ
"กรณีจึงไม่อาจถือได้ว่าประกาศของคณะปฏิวัติฯ และกฎกระทรวงที่พิพาท เป็นกฎที่คำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของเด็กเป็นสำคัญ" ความตอนหนึ่งของคำพิพากษา ระบุ
หลังจากการเพิกถอน โรงเรียนหรือสถานศึกษายังสามารถออกระเบียบเกี่ยวกับการไว้ทรงผมนักเรียนได้ แต่ต้องพิจารณาให้สอดคล้องกับหลักการเพื่อประโยชน์สูงสุดของเด็ก และคำนึงถึงการพัฒนาบุคลิกภาพและอัตลักษณ์ที่เหมาะสมตามช่วงอายุ สิทธิ เสรีภาพ และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของนักเรียนทุกคน
รับชมทางยูทูบที่ : https://youtu.be/BvRpkI1va9Q
แท็กที่เกี่ยวข้อง ศาลปกครองสูงสุด ,เพิกถอนกฎกระทรวงฯ ,กม.ทรงผมนักเรียน