สังคม

เปิดคลิปแม่ค้าคุยลูกเรือน้ำมัน อ้าง ‘รอคำสั่งเสธฯ’ ด้าน ‘บิ๊กเต่า’ ฟันไม่เลี้ยง ตร.บกพร่องเรือน้ำมันหาย

โดย petchpawee_k

15 มิ.ย. 2567

54 views

เปิดคลิปนาทีลูกเรือบรรทุกน้ำมันของกลางคุยกับแม่ค้า "เสธฯไม่ให้กลับ ต้องอยู่จนคดีจบ" ก่อนเรือทั้ง 3 ลำ หายไป  - ด้าน “บิ๊กเต่า” เตรียมออกหมายเรียกลูกเรือของ 1 ใน 3 เรือบรรทุกน้ำมันเถื่อนที่ไม่ยอมไปกับเรือเข้าสอบปากคำ 17 มิ.ย.นี้ 

กรณีที่กองบังคับการตำรวจน้ำ (บก.รน.) รายงานว่าเรือบรรทุกน้ำมันของกลางขนาดใหญ่จำนวน 3 ลำ ซึ่งบรรจุน้ำมันรวมกว่า 3.3 แสนลิตร หายไปจากท่าเทียบเรือตำรวจน้ำสัตหีบ จังหวัดชลบุรี โดยเมื่อวานนี้  (14 มิ.ย67) นับเป็นวันที่ 3 ในการติดตามหาเรือบรรทุกน้ำมันดีเซลเถื่อน 3 ลำ ที่บรรทุกน้ำมัน 3.3 แสนลิตร หลบหนีออกจากหน่วยเก็บของกลางตำรวจน้ำ ที่ท่าเทียบเรือสัตหีบ จังหวัดชลบุรี  คาดว่ามุ่งหน้าเข้าน่านน้ำประเทศเพื่อนบ้านแล้ว


ความคืบหน้าเมื่อวานนี้ (14 มิ.ย.67) พบหลักฐานใหม่ซึ่งเป็นคลิปที่ลูกเรือบรรทุกน้ำมันของกลาง คุยกับแม่ค้าว่า "เสธไม่ให้กลับ ต้องอยู่จนคดีจบ" ก่อนเรือทั้ง 3 ลำ หายไป โดยคลิปนี้เป็นคลิปการสนทนา ระหว่างแม่ค้าที่จอดขายของบริเวณต้นสะพานท่าเทียบเรือตำรวจน้ำ ไม่ให้กลับ ต้องอยู่จนคดีจบ"นของกลางที่หายไป  โดยแม่ค้าถามว่า ไหนบอกสิ้นเดือนจะกลับ ลูกเรือตอบว่า "เสธไม่ให้กลับ ให้อยู่จนคดีจบ ส่วนคดีจะจบเมื่อไหร่ก็ยังไม่รู้ เพราะต้องไปรายงานตัวอีกครั้งในวันที่ 21 มิถุนายนนี้ ก่อนขึ้นศาล และเมื่อขึ้นศาลเสร็จ เรือบรรทุกน้ำมันก็จะถูกยึดเพื่อดูดน้ำมันออก แล้วนำเรือออกประมูล"


นอกจากนี้ลูกเรือยังได้พูดตัดพ้อ เรื่องที่ตัวเองถูกโกงเงินไป 2,000 บาท ตัวเองแค่ผ่านมาบนแผ่นดินไทย เดี๋ยวก็ไป จึงไม่อยากไปเอาเรื่องคนที่โกงเงินไป อีกทั้งเสธก็สั่งว่า เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องเล็กอย่าไปใส่ใจ ยังมีเรื่องที่ใหญ่รออยู่ ก็เชื่อตามที่เสธสั่ง  ซึ่งคลิปนี้ถูกบันทึกไว้ก่อนที่เรือบรรทุกน้ำมันของกลาง 3 ลำจะหายไป

ขณะเดียวกันเมื่อวานนี้ (14 มิ.ย.67) ทีมข่าวได้ภาพวงจรปิดเพิ่มเติมช่วงเรือหายไป ซึ่งเวลา 19.00 น. ของวันที่ 11 มิถุนายน ยังไม่มืด ยังเห็นเรืออยู่  แต่ปรากฏว่าพอฟ้ามืดแล้ว เวลา 20.10 น. ซึ่งเป็นเวลาที่เรือบรรทุกน้ำมันเถื่อน 3 ลำ ลอยลำออกจากจุดที่ทอดสมอ  โดยกล้องวงจรปิดที่ท่าเรือสัตหีบจับภาพไว้ได้ในระยะไกล จะเป็นลักษณะของแสงไฟที่ค่อยๆ เคลื่อนตัวออกไป ก่อนจะหายลับไปจากกล้องวงจรปิด ก่อนจะปรากกว่าเช้าของวันที่ 12 มิถุนายน ไม่เห็นเรือแล้ว


ทั้งนี้ จากข้อมูลการสืบสวนของตำรวจ พบว่า ราว 5 ทุ่มเศษ ของวันที่ 11 มิถุนายน มีการใช้โทรศัพท์มือถือของไต้ก๋งเรือซีฮอร์สโทรศัพท์ไปยังหมายเลขหนึ่ง และราวตี 5 ของวันที่ 12 มิถุนายน ไต้ก๋งเรือ เจ.พี.ก็โทรศัพท์ออกไปอีกหมายเลขหนึ่ง ก่อนที่จะขาดการติดต่อไป ส่วนเส้นทางการเดินเรือ พบว่า มุ่งไปทางจังหวัดตราด คาดว่าไปยังน่านน้ำของประเทศกัมพูชา


ส่วนบรรยากาศบริเวณสะพานท่าเทียบเรือตำรวจน้ำสัตหีบ จังหวัดชลบุรี เมื่อวานนี้ (14 มิ.ย.67) เป็นไปตามปกติ ยังคงมีเรือบรรทุกน้ำมันของกลางที่เหลือ 2 ลำ จอดทอดสมออยู่บริเวณสะพาน มีตำรวจน้ำปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ ส่วนตำรวจสอบสวนกลาง ได้ย้ายไปตั้งกองบัญชาการในพื้นที่อำเภอสัตหีบแทน


สำหรับการค้นหาเรือเมื่อวานนี้ (14 มิ.ย.67) มีรายงานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจน้ำได้มีการประสานไปยัง ทัพเรือภาคที่ 1 กองทัพเรือ  ให้แจ้งไปยังหมู่เรือตรวจการณ์และอากาศยาน ที่กำลังลาดตระเวนตรวจการณ์ในทะเลอ่าวไทย ให้ช่วยเฝ้าระวังและติดตามค้นหาเรือบรรทุกน้ำมันที่หายไปทั้ง 3 ลำ ซึ่งขณะนี้ก็ยังไม่พบ


ส่วนที่ จ.ตราด มีรายงานว่า ตำรวจน้ำในสังกัด ช่วยกันสกัดกั้นในตำบลที่ตั้งเรือที่คาดว่าเรือของกลางจะเดินทางไปถึง รวมถึงประสานงานหน่วยงานข้างเคียงในพื้นที่ และเรือประมงรับเฝ้าฟังในวิทยุโดยต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังได้ประสาน กองบินตำรวจตรวจทางอากาศ และแนวทางการสืบสวนทุกช่องทางที่เกี่ยวข้อง จนปัจจุบันยังไม่พบการเคลื่อนไหว


ขณะเดียวกันนายอำเภอเกาะช้าง ได้สั่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และ อส.ลาดตระเวณตรวจสอบรอบเกาะช้าง ไม่พบเรือดังกล่าวมาจอดลอยลำแต่อย่างไร


ขณะที่มีสายข่าวทางทหาร รายงานว่าเวลาประมาณ 10.00 น. วันที่เรือหาย มีผู้พบเห็นเรือทั้ง 3 ลำ จอดลอยลำในทะเลระหว่างเกาะรังและเกาะกูด ซึ่งจุดนี้เป็นจุดที่เรือต่างๆใช้เป็นที่สำหรับปล่อยของเถื่อน กระทั่งเมื่อวานนี้ (14 มิ.ย.67) นายไพรัช สร้อยแสง นายอำเภอเกาะกูด ได้ให้เจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบบริเวณต่างๆในทะเลเกาะกูด แต่ไม่พบเรือทั้งสามลำ โดยนายไพรัช บอกว่าหากมีผู้พบเห็นจริง น่าจะเป็นการแล่นเพื่อมุ่งหน้าข้ามไปประเทศเพื่อนบ้านมากกว่าจะจอดลอยลำ


แหล่งข่าวเปิดเผยต่อว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นหน้าที่ของตำรวจน้ำ ที่ควบคุมเรือบรรทุกน้ำมันเถื่อนไว้ แต่ไม่รู้ด้วยเหตุผลใด ถึงปล่อยให้มีการนำเรือออกจากท่าเรือสัตหีบ หลบหนีการควบคุมได้ ทหารเรือทำหน้าที่เพียงเป็นผู้ประสานงาน และติดตามให้ความช่วยเหลือเท่านั้น เรื่องการสอบสวน ติดตามข้อเท็จจริงดังกล่าวจึงเป็นหน้าที่ของตำรวจที่จะติดตามหาผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป  พร้อมกันนี้ พบว่า ที่เกาะช้างยกเลิกภารกิจติดตามเรือดังกล่าวแล้ว ส่วนเกาะกูด อยู่ระหว่างการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง


ด้านพลตำรวจตรี จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เมื่อวานนี้ (14 มิ.ย.67) ได้เปิดเผยความคืบหน้าว่า สำหรับเรือบรรทุกน้ำมันดีเซลเถื่อนที่หายไป มีลูกเรือทั้งหมด 17 คน แต่ไปกับเรือ 16 คน อีก 1 คนไม่ได้ไปด้วย ตำรวจเตรียมเชิญตัวมาให้ปากคำ ส่วนลูกเรือทั้ง 16 คนที่หลบหนี ตอนนี้ตำรวจอยู่ระหว่างกระจายลงพื้นที่เพื่อติดตามตัวมาดำเนินคดี  และจะออกหมายเรียกลูกเรือ 16 คน ที่อยู่ในเรือ 2 ลำที่ไม่ได้บรรทุกน้ำมัน มาสอบปากคำเพิ่มเติมที่กองบังคับการปราบปรามอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ หรือ บก.ปอศ. ในวันจันทร์ที่ 17 มิ.ย.67 นี้


สำหรับเส้นทางการเดินเรือตามที่นายชัยชนะ เดชเดโช รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการตำรวจ ให้ข้อมูลว่า เรือที่หายไปอยู่ที่เกาะกูด จ.ตราด แล้วข้ามไปประเทศเพื่อนบ้าน ยังไม่ได้มีการยืนยันร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่จากข้อมูลที่ได้คุยกับตำรวจน้ำชุดทำงาน มีการยืนยันว่า เรือน่าจะเข้าไปประเทศกัมพูชาแล้ว แต่ถ้าเส้นทางที่ใกล้ที่สุดหลังจากที่เรือออกจากท่าเรือสัตหีบ จะต้องมุ่งหน้าไปที่เกาะช้าง เกาะกูด ออกประเทศเพื่อนบ้าน รวมระยะทาง 240 กิโลเมตร ซึ่งอาจจะใช้เวลาอย่างเร็ว 12 ถึง 13 ชั่วโมง


ส่วนกรณีที่มีภาพวงจรปิดรถกระบะคันหนึ่ง ขับเข้าไปในพื้นที่บริเวณสะพานถ้าเทียบเรือ เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน เวลา 5 โมงเย็น รถกระบะคันดังกล่าวเป็นรถที่ใช้ในการขนน้ำ สำหรับภารกิจการฝึกทบทวนหมวดเรือ ศรชล ภาค 1 โดยมีการฝึกระหว่างวันที่ 10 ถึง 13 มิถุนายน ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์เรือของกลางหายออกไปจากทางเทียบเรือ  ซึ่งสอดคล้องกับตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) ชี้แจงกรณีตรวจสอบรถกระบะสีดำเข้าไปในท่าเรือสัตหีบ ว่า จากการตรวจสอบบริเวณสะพานท่าเทียบเรือตำรวจน้ำสัตหีบ พบมีท่อน้ำมันและท่อน้ำ เดินท่อคู่ขนานกันไปทางปลายสะพาน และพบว่าท่อน้ำมีการซ่อมแซมใหม่ ส่วนท่อน้ำมันนั้นชำรุดใช้ไม่ได้ จากนั้นผู้สื่อข่าว ได้ลงพื้นที่ไปตรวจสอบบริเวณบ้านพักเจ้าหน้าที่ตำรวจน้ำสัตหีบ พบถังน้ำมันขนาดใหญ่วางอยู่ด้านหลัง และยังพบถังน้ำมันเล็กอีกหลายถัง ร่วมถึงปั๊มที่ใช้ในการสูบน้ำมันอีกด้วย


พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ยังย้ำด้วยว่า ความผิดที่เกิดขึ้น ยอมรับว่า เจ้าหน้าที่บกพร่องในการดูแลของกลางให้ครบถ้วน ไม่ใช่แค่ไปแล้วเอากล้องติด ดูบ้าง ไม่ดูบ้าง จึงถือว่าเป็นการประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง หลังจากนี้จะต้องตรวจสอบว่า เป็นการประมาทเลินเล่อ หรือเอื้อประโยชน์กับใครหรือไม่ หากพบใครบกพร่องยืนยันจะฟันไม่เลี้ยง


ส่วนเรื่องนี้จะเชื่อมโยงถึงเสี่ยโจ้หรือไม่นั้น บิ๊กเต่า บอกว่า "ใครเป็นเจ้าของหรือทำธุรกิจตรงนี้ ก็ไม่มีคนอื่นที่จะดำเนินการ" ตอนนี้ได้สอบปากคำคนในครอบครัวเสี่ยโจ้แล้ว คาดว่าสัปดาห์หน้าจะมีความชัดเจนมากขึ้น


สำหรับเสี่ยโจ้ ขณะนี้ตำรวจเจอหมายจับ 2 หมาย หมายแรกเป็นหมายจับของศาลจังหวัดปัตตานี ที่มีพิพากษาจำคุก เสี่ยโจ้ ในคดีครอบครองเอกสารตรวจลงตราเข้าเมืองปลอม เมื่อปี 2557 แต่หมายจับโดนซุกไว้ ไม่ได้ถูกบันทึกลงระบบ  กระทั่งปี 2564 ที่เสี่ยโจ้ถูกตำรวจกองปราบจับ จึงไปค้นหมายนี้จนเจอ พบว่ามีพนักงานสอบสวนนายหนึ่งนำไปเก็บไว้ แล้วลืมลงระบบ อีกหมายออกเมื่อปี 2565 โดยศาลจังหวัดปัตตานี เป็นคดีสนับสนุนเจ้าพนักงานปฎิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ซึ่งสืบเนื่องมาจากคดีตำรวจซุกหมายจับเมื่อปี 2557


https://youtu.be/T2l-jYz0LLE

คุณอาจสนใจ

Related News