ปคม.รวบป้าลวงหลานสาววัย 11 ปี ไปให้กิ๊กรู้จักผ่านแอปฯหาคู่ ทำอนาจารในรถ

ความคืบหน้าคดีที่นายเรวัต อายุ 42 ปี ซึ่งเป็นกิ๊กของป้าที่รู้จักกันในแอปฯหาคู่ ลวงเด็กวัย 11 ปี ทำอนาจารในรถกระบะ พื้นที่หมู่ 13 ต.บางมะพร้าว อ.หลังสวน จ.ชุมพร ภายหลังพ่อรู้เรื่องพาเข้าแจ้งความ ก่อนให้ลูกสาวโทรนัดล่อเจอตัว หวังจับส่งตำรวจ แต่คู่กรณีขัดขืนต่อสู้จนมีการรุมซ้อมจนเลือดอาบ ก่อนมัดมือมัดเท้าส่งตัวให้ตำรวจดำเนินคดี แต่สุดท้ายตำรวจดำเนินคดีพ่อพร้อมกับญาติ รวม 3 คน ในข้อหาร่วมกันทำร้ายผู้อื่น

ที่ผ่านมา ตำรวจได้รวบรวมพยานหลักฐาน กระทั่งล่าสุด ตำรวจ ปคม.ร่วมกับตำรวจ สภ.ปากน้ำหลังสวน จ.ชุมพร นำกำลังจับกุม นางจิราวรรณ์ อายุ 48 ปี ป้าของเด็ก ได้ที่หน้าโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในพื้นที่กรุงเทพฯ โดยเป็นการจับกุมตามหมายจับ ข้อหาเพื่อสนองความใคร่ของผู้อื่น, เป็นธุระจัดหาพาไปเพื่อการอนาจาร โดยกระทำแก่เด็กอายุไม่เกิน 15 ปี, พรากเด็กอายุยังไม่เกิน 15 ปี และสนับสนุนให้ผู้อื่นกระทำอนาจารแก่เด็กอายุไม่เกิน 13 ปี

โดยคดีนี้เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 16 มกราคมที่ผ่านมา นางจิราวรรณ์ ผู้ต้องหา ได้นัดกับนายเรวัต ซึ่งเป็นชายคนสนิทที่รู้จักกันผ่านแอปฯหาคู่ จากนั้นได้นัดเจอกัน และมีการพาเด็กหญิง ซึ่งเป็นหลานสาวของผู้ต้องหา นั่งรถกระบะไปด้วย มีการออกอุบายพาแวะซื้อไก่เคเอฟซี จากนั้นพาเด็กหญิงผู้เสียหายไปที่ชายหาด แล้วป้าอ้างว่าจะลงไปซื้อน้ำที่ร้านสะดวกซื้อ ทำให้นายเรวัต ใช้โอกาสอนาจารเด็กหญิงบนรถกระบะ แต่เด็กหญิงขัดขืนและหลบหนีออกมาได้

เบื้องต้นสอบสวนป้าของเด็ก ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา จึงนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.ปากน้ำหลังสวน ดำเนินคดีตามกฎหมาย

ต่อมาเช้าวันนี้ เจ้าหน้าที่ได้นำตัวป้าของเด็ก เดินทางไป สภ.ปากน้ำหลังสวน โดยพันตำรวจเอกสุริยนต์ ชมมี ผู้กำกับการ สภ.ปากน้ำหลังสวน ได้สอบปากคำผู้ต้องหาด้วยตัวเอง หลังสอบปากคำ ตำรวจได้นำตัวผู้ต้องหาออกมาจากห้องสอบสวน ผู้สื่อข่าวสอบถามผู้ต้องหา ยอมรับว่าตัวเองพาหลานไปจริง เมื่อถามว่ารู้หรือไม่ว่านายเรวัตจะทำอะไรหลาน ป้าตอบว่า ก็พอรู้

พันตำรวจเอกสุริยนต์ กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ได้พยานหลักฐานชัดเจนว่า ป้ามีส่วนเกี่ยวข้องในการพาหลานไปให้นายเรวัต อนาจาร จึงมีการขอออกหมายจับ ขณะนี้มีการแยกทำคดีเป็น 3 คดี โดยคดีอนาจารผู้ต้องหาคือนายเรวัต , คดีทำร้ายร่างกายผู้ต้องหาคือพ่อ พร้อมพวก และคดีที่ 3 คดีเป็นธุระจัดหา ผู้ต้องหาคือป้าเด็ก ส่วนจะเข้าข่ายค้ามนุษย์หรือไม่ ต้องดูว่ามีการเรียกรับผลประโยชน์หรือไม่ ทั้งนี้ยืนยันว่าทุกคดีดำเนินการตามกฎหมาย ซึ่งสุดท้ายแล้วทุกอย่างต้องขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของศาล