สังคม

ขอโทษแล้ว! 2 มือตบหยุมหัว ‘แม่พริ้ง’ รับเข้าใจผิด - หนุ่มกล้ามโตช่วยกะเทยไทยข้องใจฝั่ง ‘ปินส์’ ไม่โดนแจ้งข้อหา

โดย petchpawee_k

6 มี.ค. 2567

20 views

'คุณพริ้ง' ฝ่ายกะเทยไทย ถูกเข้าใจผิดคิดว่าแก๊งกะเทยฟิลิปปินส์ โดนรุมเจ็บ  ขณะที่ คนที่ทำร้าย โพต์ขอโทษ รับทำผิดตัว 


ท่ามกลางความชุลมุนของศึกกำปั้นใจกลางซอยสุขุมวิท 11 ที่เหล่ากะเทยไทยได้ไปบุกตบกะเทยฟิลิปปินส์ หวังล้างแค้นให้เพื่อนร่วมชาติ กลับมีเหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้น เมื่อ แม่พริ้ง หนึ่งในสาวประเภทสองคนไทยที่ได้ไปร่วมขบวนดังกล่าว ถูกเข้าใจผิดว่าเป็นกะเทยฟิลิปปินส์ ก่อนถูกรุมทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก


โดยมีผู้ใช้ทวิตเตอร์รายหนึ่ง (@hanura_01) ได้มีการแชร์คลิปขณะแม่พริ้งถูกทำร้าย พร้อมข้อความระบุ “ทุกคนด่วน !!


อันนี้คนไทยนะครับ โดนหนักเลยน่าจะเข้าใจผิดกัน ช่วยกัน กระจายข่าวหน่อย ด่วนเลย #สุขุมวิท11”


ซึ่งเมื่อวานนี้ (5 มี.ค.) หมวย โซฮอท อินฟลูเอนเซอร์ชื่อดัง ก็ได้โฟนอินให้สัมภาษณ์ในรายการโหนกระแส ระบุ แม่พริ้งคือหนึ่งในตัวแม่ที่เดินทางไปช่วยกะเทยไทย แต่มีการตีผิดตัว ซึ่งคุณแม่อยากให้คนที่เข้าใจผิดออกมาแสดงตัวด้วยการรับผิดชอบหรือขอโทษ เพราะส่วนตัวบาดเจ็บหนัก


ต่อมา หมวย โซฮอท ก็ได้แชร์ข้อความของแม่พริ้ง ที่ออกมาอัปเดตอาการบาดเจ็บของตนเองผ่านทางเฟซบุ๊ก พบว่าตามใบหน้ามีรอยฟกช้ำ และบริเวณนิ้วมือนิ้วเท้าก็ได้รับบาดเจ็บด้วยเช่นกัน


“อัปเดตอาการนะคะ พริ้งตอบแชตไม่ไหว ตอนนี้กำลังไปปฏิบัติธรรม คนที่ตีผิดตัวทักมาขอโทษแล้ว 1 คน ต้องการให้ผู้ชายใส่เสื้อดำที่กระชากหัวพริ้ง ออกมาขอโทษผ่านสื่อด้วยค่ะ และอีก 2-3 คน ตามในคลิป


พยายามบอกแล้วว่าไม่ใช่ผิน ตอนนี้พริ้งยังไม่สะดวกให้สัมภาษณ์ทุกสื่อนะคะ ต้องขอขอบคุณพี่ ๆ น้อง ๆ ที่ให้ค่าทำขวัญมา พริ้งกำลังไปปฏิบัติธรรม ค่าทำขวัญส่วนหนึ่ง พริ้งจะแบ่งทำบุญนะค่ะ”


จากนั้น ก็เริ่มมีผู้ทยอยออกมาโพสต์ข้อความขอโทษต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หนึ่งในนั้นคือชายชุดดำที่แม่พริ้งได้ระบุผ่านแคปชันว่าอยากให้แสดงความรับผิดชอบ ซึ่งเจ้าตัวระบุว่า


“จากเหตุการชุลมุน​เมื่อคืนนี้​ มีการลงมือผิดคนด้วยครับ ซึ่งคนโดนก็เป็นน้องคนหนึ่งในอุดมการณ์​เดียวกันที่ไปรอดักปินส์หน้าโรงแรม​ ซึ่งตัวพี่เองก็ต้องน้อมรับว่า พี่ได้ดึงผมน้องคนนี้ผิดคนจริงๆ ครับ


มันไม่ได้ยินจริงๆ ​ไม่ได้ยินอะไรเลย เพราะเสียงที่มันดังไปหมด จนมาได้ยินตำรวจบอกพี่ว่าคนไทยครับ​ แต่ขณะนั้นเรากำลังดึงผมน้องเขา​ แต่พอเรารู้เราก็ปล่อย​ทันที


หลังจากจบเหตุการณ์​นั้น พี่เองได้เดินเข้าไปขอโทษน้องคนนี้แล้ว ที่นั่งพักอยู่ที่เก้าอี้หน้าโรงแรม​ ยังช่วยล้างเลือดที่เท้าให้น้องอยู่เลยครับ ​เพราะตรงนั้นมีเศษแก้วแตก


พอล้างเสร็จผมก็ถามว่าไปโรงพยาบาล​มั้ย​ เพื่อนน้องคนนึงบอกว่า เดี๋ยวรถพยาบาลเข้ามารับค่ะ ผมจึงเดินออกมาครับ​ แต่ถึงอย่างไรพี่เองก็ต้องขอโทษน้อง​ พริ้ง เริ้งเมือง ไว้ตรงนี้จากใจอีกครั้งนะครับ​


พี่ไม่อยากให้เกิดเหตุการเช่นนี้เกิดขึ้น ​และไม่มีเจตนาที่จะทำร้ายน้องแน่นอนครับ จุดประสงค์​ที่ออกมาคือเพื่อมาปกป้องกลุ่ม LGBT ของบ้านเราครับ ขอโทษจริง ๆ ครับ”


ขณะที่ผู้ใช้เฟซบุ๊กอีกคนโพสต์ข้อความขอโทษกับ แม่พริ้ง ว่า “แหม่มสาดน้ำและหยุมพี่เขาไป เสียใจมากๆค่ะ มีคนตลุมเปิด เรานึกว่าเป็นผิน มันชุลมุนมากจริงๆ กราบขอโทษคุณพี่ “พริ้ง เริ้งเมือง” เป็นอย่างสูงจริงๆ ค่ะ ขอโทษคุณพี่จริงๆ ยังเสียใจกับเหตุการณ์ เพราะนึกว่าเป็นปินจริงๆ


พอพี่อีกคนบอกเป็นคนไทยเราเลยถอยออกเลย เราโพสต์ และทักแชตขอโทษคุณพี่เขาแล้ว เพราะเราไม่รู้จริงๆมันชุลมุนไปหมด เสียงก็ดังหูอื้อ เพิ่งมานั่งสงบสติอารมณ์ แล้วดู  อ้าวเป็นพี่คนนี้นี่ ผิดตัวเลย เสียใจค่ะ

ขอให้คุณพี่หายไวไวนะคะ เทคแคร์นะคะ เราเสียใจมาก และเข้าใจคุณพี่ค่ะ ว่าจะให้อภัยหรือไม่ให้อภัยหนู หนูทักหาพี่และโพสต์ในความบริสุทธิ์ใจของหนู”


ด้าน “แม่พริ้ง” ก็ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า “อัปเดตอาการนะคะ พริ้งตอบแชตไม่ไหว ตอนนี้กำลังไปปฏิบัติธรรม  คนที่ตีผิดตัว ทักมาขอโทษแล้ว 1 คน ต้องการให้ผู้ชายใส่เสื้อดำที่กระชากหัวพริ้ง ออกมาขอโทษผ่านสื่อด้วยค่ะ และอีก 2-3 คน ตามในคลิป พยายามบอกแล้วว่าไม่ใช่ผิน ตอนนี้พริ้งยังไม่สะดวกให้สัมภาษณ์ทุกสื่อนะคะ ต้องขอขอบคุณพี่ๆ น้องๆ ที่ให้ค่าทำขวัญมา พริ้งกำลังไปปฏิบัติธรรม ค่าทำขวัญส่วนหนึ่ง พริ้งจะแบ่งทำบุญนะคะ”

-----------------------------------------

ยังไม่แจ้งข้อหากะเทยฟิลิปปินส์ตบกะเทยไทย ตำรวจระบุยังต้องหาหลักฐานเพิ่มเติม พิสูจน์ตัวบุคคลรายใดเป็นผู้ก่อเหตุ ขณะที่กะเทยไทยวอนสื่อมวลชนช่วยตรวจสอบหวั่นไม่ได้รับความเป็นธรรม


พล.ต.ต.วิทวัฒน์ ชินคำ ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 5 เปิดเผยความคืบหน้ากรณีเหตุการณ์การทำร้ายร่างกายและชุลมุนระหว่างกะเทยไทยและกะเทยฟิลิปปินส์ในซอยสุขุมวิท 11 จากการตรวจสอบเหตุที่เกิดขึ้นเริ่มตั้งแต่วันที่ 4 มีนาคม ช่วงประมาณ 2 ทุ่ม กะเทยทั้งสองฝ่าย มีปากเสียงกัน เขม่น และด่ากัน ส่อแววจะทะเลาะวิวาท ระหว่างกะเทยไทย 7 คน และกะเทยฟิลิปปินส์ 4 คน ตำรวจเชิญมาที่โรงพักมาเจรจาแล้วจบกันไป แยกย้ายกลับ


 ต่อมาหลังจากแยกออกจากโรงพัก ทั้งสองฝ่ายไปเจอกันที่ร้านซีฟู้ดที่ปากซอยสุขุมวิท ซอย 5 ก็มีปากเสียงกันอีก ครั้งนี้มีการด่าประเทศไทยว่า “ฟักยูประเทศไทย” และเหยียดหยามคนไทย โดยทำท่าทางท้าทาย ใส่กลุ่มกะเทยไทย จนเกิดความไม่พอใจซึ่งกันและกัน แต่กะเทยไทยเรียกรุ่นพี่มา เพราะกลุ่มกะเทยฟิลิปปินส์ มีจำนวนมาก เกรงว่าจะสู้ไม่ไหว และจะเป็นอันตราย


ครั้งที่ 3 ทั้งสองฝ่ายไปเจอกันที่ปากซอยสุขุมวิท 11 จากที่เริ่มมีปากเสียงอีกและไม่พอใจกันตั้งแต่ปากซอยสุขุมวิท ซอย 5 พอเจอกันรอบที่ 3 ก็เริ่มที่ทำร้ายร่างกายกัน โดยกะเทยคนไทยไม่พอใจที่กะเทยฟิลิปินส์ทำคลิปโพสต์ลงโซเชียล ด่าและเหยียดหยามคนไทย ต้องการเคลียร์ ซึ่งกะเทยฟิลิปปินส์มีประมาณ 15 คนขึ้นไป ก็เริ่มมีปากเสียง และทำร้ายร่างกายกันเกิดขึ้น ตอนนี้อิรุงตุงนัง ไม่รู้ใครเป็นใคร


 “ขอยืนยันว่าจะดำเนินคดีกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง และให้ความเป็นธรรม โดยจะประสานกับตำรวจตำรวจท่องเที่ยวตรวจสอบว่าชาวฟิลิปปินส์ทำผิดต่อข้อกฎหมายอะไรหรือไม่”


สาเหตุของการทะเลาะกันเพราะมาจากการเขม่น และการโพสต์เย้ยหยั่นกันเกิดขึ้น เป็นการกระตุ้นอารมณ์เกิดขึ้นทั้งสองส่วน จากการพูดคุย จะรวบรวมหลักฐานทั้งหมดที่เกิดขึ้น โดยบุคคลที่ผิดก็ต้องถูกดำเนินคดีทั้งสองฝ่าย โดยจะมีการพิสูจน์ทราบตัวบุคคลจากกล้องของตำรวจที่มีการติดไว้ รวมไปถึงข้อมูลอื่นๆ


ส่วนบุคคลที่เดินทางออกนอกประเทศไปแล้วก็มีขั้นตอนทางกฎหมายดำเนินการดำเนินการ โดยจะมีการประสานกับตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ไว้ดำเนินการอยู่ และจากการตรวจสอบวีซ่า พบว่าเป็นวีซ่านักท่องเที่ยวสามารถอยู่ในเมืองไทยได้ 30 วัน และแจ้งมาว่าเป็นนักท่องเที่ยว ไม่ได้มาประกอบอาชีพที่ไทย


จากนั้นช่วงค่ำ พล.ต.ต.วิทวัฒน์ ชินคำ ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 5 เปิดเผยความคืบหน้ากับทีมข่าวผ่านทางโทรศัพท์อีกว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นยังไม่สามารถแจ้งข้อหากับกะเทยชาวฟิลิปปินส์ที่ถูกควบคุมตัวมาได้ 4 คน เพราะตอนนี้ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าใครถูก 4 คนทำร้ายบ้าง ซึ่งอยากฝากไปถึง กะเทยไทย คนไหนที่ถูกทำร้ายร่างกายแล้วมีคลิปยืนยันว่าเป็นตนเอง ให้นำมามอบให้กับเจ้าหน้าที่เพื่อเป็นหลักฐานในการดำเนินคดีกับกลุ่มกะเทยฟิลิปปินส์


โดยตลอดตลอดทั้งวัน 4 คนนั้นถูกแยกสอบอยู่ที่ห้องพนักงานสอบสวนชั้นบนของ สน.ลุมพินีแยกส่วนกับกะเทยไทย เพราะหวั่นว่าจะเกิดการทะเลาะวิวาทรอบสองเกิดขึ้นหากให้ทั้งสองฝ่ายพบหน้ากัน


ขณะเดียวกันช่วงค่ำ กลุ่มกะเทยไทยได้เดินทางมาเข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน โดยนำใบตรวจร่างกายจากโรงพยาบาลตำรวจเพื่อดำเนินคดีกับกลุ่มกะเทยฟิลิปปินส์ในข้อหาทำร้ายร่างกาย และข้อหาชิงทรัพย์ เนื่องจากขณะชุลมุนอยู่นั้นกะเทยฟิลิปปินส์ได้ขโมยกระเป๋าของเพื่อนที่อยู่ในที่เกิดเหตุไป โดยภายในมีทรัพย์สินเป็นเงินสด 2000 บาท และสร้อยราคาหลักหมื่นบาท จึงต้องการดำเนินคดีกับกลุ่มกะเทยฟิลิปปินส์


ผู้สื่อข่าวถามว่า หากเป็นไปได้อยากจะพูดคุยกันสงบศึกกันหรือไม่ คุณวาย ระบุว่า ต้องถามเขาว่าจะกล้ามาหรือเปล่า กลุ่มพวกตนก็อยากเจอหน้ากับเขา อยากให้เขาขอโทษพวกหนู แล้วก็เรียกสินไหม และขอยืนยันว่า ถ้าเจอหน้าพวกเขาทั้งหมดจะไม่หยุมหัวกัน เพราะพวกหนูมีสติ  เมื่อถามว่าถ้าจบคดีแล้วไปเจอกันอีกได้มั้ย คุณวายตอบว่า ต้องถามว่าเขาจะกล้ามาอีกหรือไม่

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่ากลุ่มกะเทยไทยที่ได้รับบาดเจ็บเกิดคำถามว่า ตลอดทั้งวันไม่พบตัวกะเทยฟิลิปปินส์อยู่ที่ สน. ไม่เข้าห้องน้ำ ไม่ทานอาหารหรือเดินออกมาจากห้องพนักงานสอบสวนแม้แต่ครั้งเดียว จึงไม่แน่ใจว่ายังถูกควบคุมตัวอยู่ สน.หรือไม่หรือตำรวจปล่อยไปแล้ว อยากขอให้ความเป็นธรรมกับกะเทยไทยด้วย เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นมันหยามเกียรติคนไทยมากและรับไม่ได้กับการที่มาด่าคนไทยทั้งที่มาอาศัยอยู่แผ่นดินไทย
----------------------

'แชมป์'  LTBGQ กล้ามโต ที่ถูกใส่กุญแจมือขณะเกิดเหตุเข้ารับทราบข้อกล่าวหา ระบุเหตุการณ์สะท้อนให้เห็นถึงพลังกะเทยไทยนั้นรักสงบ แต่ถึงรบไม่ขลาด


ตำรวจ สน.ลุมพินี ได้ดำเนินคดีกับนายแชมป์ LTBGQ ที่เป็นชายกล้ามโต ที่หลายคนเรียกว่าฮีโร่ ผู้ที่เข้าไปช่วยหย่าศึก แต่กลับโดนทำร้ายร่างกาย และถูกควบคุมตัวมาจากที่เกิดเหตุพร้อมกับมีการใส่กุญแจมือ จนเป็นประเด็นที่ทำให้ชาวเน็ตถกเถียงกันว่าสมควรหรือไม่


หลังสอบปากคำ และถูกแจ้งข้อกล่าวหา ใช้เวลานานกว่า 12 ชั่วโมง นายแชมป์ ก็ออกมาให้สัมภาษณ์ เปิดใจว่า ตนเองถูกแจ้งข้อหา “ร่วมกันทำร้ายร่างกาย” โดยตอนนี้มีตนเองแค่คนเดียวที่ถูกดำเนินคดี ซึ่งต้องแยกสองส่วนเพราะตนเองไปร่วมในเหตุการณ์ ส่วนผู้เสียหายอีก 6 คนก็เป็นเพื่อนอีกกลุ่ม


ทั้งนี้ไม่กังวลเรื่องคดีความ และตอนนี้ก็มองว่าที่ยังไม่แจ้งข้อหากะเทยฟิลิปปินส์ อาจจะทำให้เห็นถึงความไม่เท่าเทียม และตนเองก็รู้สึกถึงความแตกต่างด้วย ที่คนฟิลิปปินส์ที่ถูกคุมตัวมากับตนเองบนหลังกระบะตำรวจ ไม่ได้ถูกใส่กุญแจมือ แต่ตนเองโดนใส่กุญแจมือคนเดียว


ส่วนวิธีการก่อเหตุยอมรับว่าตอนนั้นมีอารมณ์โกรธ เพราะถูกเหยียดหยามจึงใช้มือล็อกคอกะเทยฟิลิปปินส์ โดยไม่ปล่อย จากนั้นก็ไม่รู้ว่าเกิดเหตุอะไรขึ้นบ้างและทำอะไรลงไปบ้าง ทำให้ตำรวจต้องเอาตัวออกมา เลยเป็นเหตุซึ่งหน้าจึงใส่กุญแจมือ เพราะตำรวจอาจจะทำงานได้ลำบาก เนื่องจากตนเองเป็นผู้ชายรูปร่างกำยำ ท่ามกลางกลุ่มกะเทยชาวไทยที่ผมยาว


นายแชมป์ ยังเล่าอีกว่า สิ่งที่ทำให้ตนเองเดือด ณ ตอนนั้น พอไปเห็นเหตุการณ์ และสิ่งที่ทำกะทเยฟิลิปปินส์ทำกับกะเทยไทย ทำให้ตนเองรู้สึกว่ามันใช้คำนี้ได้ “ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด”เลยทำให้มีแรงฮึดสู้เข้าไปรุมในตอนนั้น


ซึ่งสาเหตุที่ทำให้ตนเองมีแรงสู้ เพราะในตอนนั้นที่กะเทยไทยไปรวมกัน ก็ถูกกะเทยฟิลิปปินส์ เปิดหน้าต่างจากห้องพักมายั่วยุด้วย ทำให้รู้สึกว่า หยามกันเกินไป


ส่วนคำว่า ‘ฮีโร่’ ที่มีโซเชียลเรียกตนเองนั้น มองว่า “คำว่าฮีโร่ก็ไม่แน่ใจว่าต้องใช้กับคนประเภทไหน แต่ที่ผมทำแบบนั้นลงไป เพราะเป็นศักดิ์ศรีของ LGBTQ ที่ชื่อว่าคนไทย และการที่ชาวต่างชาติมาทำแบบนี้ในประเทศไทยเป็นการหยามศักดิ์ศรีของคนไทย แต่คำว่าฮีโร่คงใช้กับผมไม่ได้ เพราะผมเป็นผู้ต้องหา”


ทั้งนี้ หลังเกิดเหตุตอนที่ตำรวจควบคุมตัวมาโรงพัก ตนเองถูกควบคุมตัวมา ก็นั่งหลังกระบะมากับกะเทยฟิลิปปินส์ โดยทางฝั่งกะเทยฟิลิปปินส์ยังถามตนด้วยว่า “มาทำแบบนี้กับเพื่อนเขาได้ยังไง”



รับชมผ่านยูทูบได้ที่ : https://youtu.be/vQ30QTdmkeU

คุณอาจสนใจ

Related News