อุทาหรณ์! สาวโอนเงินผิดบัญชีกดเลขพร้อมเพย์ผิดเพียงแค่ตัวเดียว สูญเงินกว่า 1.8 แสนบาท

นางสาวศิริวิมล จิตรบรรจง ผู้เสียหาย กรณีที่เธอโอนเงินผิดบัญชีไปยังบัญชีของ นางสาว สุภาวดี หรือ บี (สงวนนามสกุล) จำนวน 186,000 บาท ตั้งแต่เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2566 (ปีที่แล้ว) แต่ผู้เสียหายพยายามติดต่อขอเงินคืน แค่คู่กรณีกลับไม่โอนคืนมา จนเวลาผ่านไป 1 ปี ซึ่งผู้เสียหายได้ไปแจ้งความและมีการดำเนินคดีในชั้นศาลซึ่งตอนนี้คู่กรณีมีหมายจับในข้อหา “ยักยอกทรัพย์”

นางสาวศิริวิมล เล่าว่า เมื่อวันที่ 4 มีนาคม ปีที่แล้ว เธอจะไปซื้อรถจึงจะโอนเงินจากบัญชีเงินเก็บของตัวเองไปอีกบัญชี โดยโอนผ่านเลขพร้อมเพย์ซึ่งจังหวะนั้นเป็นจังหวะที่เธอกำลังจะลงรถและด้วยความเคยชินจึงกดเบอร์ไปและไม่ทันสังเกตว่ากดผิด ซึ่งเมื่อโอนแล้วเธอก็มาเอะใจว่าทำไมเงินยังไม่เข้าอีกบัญชีเธอจึงไปดูสลิปก็พบว่าบัญชีที่โอนไปนั้นไม่ใช่บัญชีเธอและเบอร์พร้อมเพย์เลขท้ายผิดไปเพียงตัวเดียว

จากนั้นเธอจึงนำเบอร์ที่กดผิดไปค้นหาในแอปพลิเคชันไลน์ก็ขึ้นแชต ไลน์ของนางสาวบี เธอพยายามทักไปบอกว่าโอนเงินผิดบัญชีรบกวนโอนกลับคืนมาแต่นางสาวบีอ่านและไม่ตอบเธอทั้งพยายามโทรและแชทไปหลายครั้งประกอบกับเธอเอาไปปรึกษาญาติปรากฏว่ามีเพื่อนของญาติเธอรู้จักจึงไปตามให้ที่บ้านเนื่องจากอยู่ ในจังหวัดเดียวกันแต่เมื่อไปที่บ้านคนที่บ้านบอกว่านางสาวบีไม่ได้อาศัยอยู่ที่อำเภอนี้และบอกให้ไปตามอีกอำเภอหนึ่งแต่เมื่อไปตามก็ปรากฏว่าไม่อยู่บอกว่านางสาวบีไปอยู่กรุงเทพฯแล้ว ระหว่างนั้นผู้เสียหายได้ไปแจ้งความที่สภ.เมืองจันทบุรีและไปติดต่อธนาคาร ซึ่งตั้งแต่เกิดเรื่องทางตำรวจเจ้าของคดีบอกให้เธอรอตำรวจจะติดตามตัวให้แต่เธอรอมาจนจนจะครบปี ก็ไม่มีความคืบหน้า มีเพียงหมายจับเท่านั้นแต่ไม่สามารถติดตามตัวคู่กรณีได้ทั้งที่รู้ตัวตนแล้ว จนตำรวจที่ทำคดีย้ายไปโรงพักอื่นเธอจึงไปติดตาม อีกครั้งและออกมาโพสต์ลงโซเชียลเพื่อหวังว่าจะมีคนรู้จักนางสาวบีและติดตามติดตามตัวให้



ผู้เสียหายยังเล่าให้ฟังอีกว่ามีการไปตรวจสอบบัญชี ของนางสาวบีปรากฏพบว่าวันที่เธอโอนเงินวันที่ 4 มีนาคมหลังจากที่เธอโอนผิดบัญชีนางสาวบีได้ย้ายเงินจำนวนดังกล่าวออกไป 3 บัญชี บัญชีแรกเป็นบัญชีของนางสาวบีจำนวน 140,000 กว่าบาทบัญชีที่สองคาดว่าเป็นแม่สามีจำนวน 20,000 บาทและบัญชีที่สามโอนไปให้บัญชีของผู้ชายจำนวน 20,000 บาท ซึ่ง มีการย้ายบัญชีทันทีหลังจากที่ผู้เสียหายโอนผิดไป



เธอยอมรับว่าเรื่องดังกล่าวเกิดจากความประมาทที่เธอไม่ตรวจสอบบัญชีให้ดีก่อนกดโอนและอยากฝากเป็นอุทาหรณ์ให้ตรวจสอบบัญชีทุกครั้งก่อนกดโอนซึ่งตอนนี้เธอหวังว่าอยากให้ สื่อมวลชนช่วยกระจายข่าวเผื่อคนรู้จักนางสาวบีจะได้นำเงินของเธอมาคืนเพราะเธอยังไม่หมดหวังหวังว่าจะได้เงินกลับคืนมา เพราะเธอพยายามติดต่อไปยังญาติหรือคนที่รู้จักนางสาวบีแต่ก็ไม่มีใครออกมาบอกว่าสนิทหรือรู้จักกับนางสาวบีหรือว่ารู้ว่านางสาวบีอาศัยอยู่ที่ไหนตอนนี้เธอไม่รู้จะตามตัวของคู่กรณีได้จากทางไหนแล้ว



นอกจากนี้ทีมข่าวได้สอบถามไปยังนายประยุทธ เพรชคุณ โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อความรู้ข้อกฎหมายถึงประเด็นดังกล่าวว่า พฤติกรรมในลักษณะนี้มีความผิดทางด้านอาญา มาตรา 352 วรรค 2 ข้อหา ยักยอกของเก็บตก ซึ่งถือมีความผิดอยู่แล้ว เพราะเจ้าของเงินนั้นโอนเข้าไปผิด และหน้าที่ของเจ้าของบัญชีที่โอนผิดไปนั้นจะต้องประสานคืนทันที ทั้งการไปประสานยังธนาคารหรือไปแจ้งตำรวจ เพราะหากไม่มีพฤติการณ์ที่จะคืนจะเข้าข่ายการยักยอก และยิ่งหากมีการถ่ายเงินออกไปด้วยนั้นเป็นความผิดอย่างแน่นอน จะลักษณะคล้ายที่เราเดินไปเจอทองตกอยู่หากเจอแล้วเก็บไปแจ้งตำรวจหรือหาตัวเจ้าของ ก็จะไม่เข้าข่ายยักยอกแต่หากเจอทองตกอยู่บนถนนเราหยิบไปเป็นของตัวเองถือว่ามีพฤติกรรมลักษณะเดียวกัน พร้อมแนะนำ ผู้เสียหายว่าไม่จำเป็นต้องฟ้องคดีทางแพ่งเพื่อให้ผู้ต้องหาชดใช้ค่าเสียหายเพราะตัวมาตราในคดีอาญาทางศาลจะบังคับให้เอาเงินคืนหรือ ชดใช้ค่าเสียหายอยู่แล้ว

ขณะที่ได้ฝากเตือนให้ระวังหากมีคนโอนเงินผิดบัญชี อาจแฝงเป็นกลุ่มมิจฉาชีพที่จะติดต่อมาอ้างว่าโอนเงินผิดบัญชีให้โอนเงินคืนกลับไปโดยจะมีกระบวนการรู้เลขบัญชีอาจจะถูกหลอกดูดเงินคล้ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ก็ได้