เลือกตั้งและการเมือง

นายกฯ ยันหารือ 'ทวี' วานนี้ ไร้ปม 'ทักษิณ' - 'สมศักดิ์' ขู่ กมธ.ตำรวจ ระวังถูกฟ้อง หลังลั่นขอบุกเยี่ยม

โดย weerawit_c

23 ธ.ค. 2566

96 views

นายเศรษฐา​ ทวีสิน​ นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง​ กล่าวถึงการเรียกพันตำรวจเอกทวี​ สอดส่อง​ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม​ เข้าหารือเมื่อช่วงบ่ายวานนี้ ที่ตึกไทยคู่ฟ้าทำเนียบรัฐบาล ว่าตนได้เชิญมาหารือเรื่อง คดีหมูเถื่อนและคดีหุ้นมอร์​ และหุ้นสตาร์ค โดยไม่มีการหารือเรื่องของนายทักษิณ​ ชินวัตร​ อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ถูกคุมขังครบ​ 120 วันที่โรงพยาบาลตำรวจ​ รวมถึงไม่ได้สอบถามถึงการออกระเบียบของกรมราชทัณฑ์ในการคุมขังนักโทษนอกเรือนจำ ว่านายทักษิณ​ เข้าข่ายระเบียบดังกล่าวหรือไม่​ ซึ่งตนเชื่อว่ากรมราชทัณฑ์​มีกฎระเบียบ​อยู่​ในการดูแลคนเจ็บ​ และตนก็มั่นใจว่ากรมราชทัณฑ์ทำตามกฎระเบียบสามารถตรวจสอบได้


ส่วนที่หลายฝ่ายมองว่าการออกระเบียบในรัฐบาลนี้ทั้งที่มีการเริ่มตั้นตั้งแต่ปี​ 2560 นั้นจะเป็นการเอื้อประโยชน์​ให้กับนายทักษิณ​หรือไม่นั้น​ นายกรัฐมนตรี​ ย้อนผู้สื่อข่าวว่าเป็นคำถามที่ย้อนแย้ง เพราะกฎหมายเริ่มตั้งแต่ปี 2560​ เมื่อถามย้ำว่าแต่ขณะนั้นเป็นเพียงแนวคิดแต่มาสำเร็จในรัฐบาลนี้ นายเศรษฐาระบุว่า แนวคิดมีตั้งแต่ปี 2560​ มา ซึ่งขณะนั้นรัฐบาลนี้ก็ยังไม่ได้เป็นรัฐบาล เป็นรัฐบาลของพลเอกประยุทธ์​ จันทร์โอชา​ ซึ่งตนเชื่อว่าโรงพยาบาลตำรวจ​ และกรมราชทัณฑ์ ทำถูกต้องตามกฎระเบียบ


ส่วนมีการตั้งข้อสังเกตว่าคณะกรรมาธิการตำรวจสภาผู้แทนราษฎรจะไปตรวจสอบโรงพยาบาลตำรวจว่านายทักษิณ​ เข้าพักรักษาตัวจริงหรือไม่​ อาจมีปัญหาในเรื่องสิทธิของผู้ป่วยนั้ร นายเศรษฐา​ ระบุว่า​ ก็ต้องว่าไปตามกฎที่ตั้งไว้ แต่ถ้าไปละเมิดสิทธิคงไม่ถูกต้อง


ขณะที่ด้านนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่กรมราชทัณฑ์ออกระเบียบต่างๆ ถูกเชื่อมโยงว่าเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า กรณีดังกล่าวเป็นพัฒนาการ เมื่อมีกฎหมายออกมา ก็ต้องดำเนินการไปตามแนวทางของกฎหมาย  ทั้งนี้มีหลายกระทรวงที่สร้างกฎหมายออกมา แต่ไม่ได้เดินต่อ และไม่ได้นำมาใช้เกิดประโยชน์ในการพัฒนาประเทศ จึงทำให้เสียโอกาส ทำให้หน่วยงานนั้นๆ แค่นั่งรอเซ็นหนังสือไปวันๆ ซึ่งมันไม่ใช่การพัฒนาประเทศ แต่การพัฒนาจะต้องคิดใช้ประโยชน์จากกฎหมายเพื่อสังคมและประเทศชาติ นั่นคือการเมืองที่ดี


เมื่อถามว่าสังคมตั้งข้อสังเกตว่า ถ้าจะต้องการพัฒนา  เหตุใดจึงต้องไปโยงกับเรื่องของนายทักษิณ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า จังหวะมันไปลงกันพอดี และโดยปกติสังคมข้าราชการไทยจะอยู่แบบสบายๆ ไม่ค่อยคิดอยากจะทำอะไรที่เป็นเรื่องใหม่ เพราะเรื่องใหม่ก็เป็นเรื่องน่าหวาดเสียวสำหรับองค์กรที่เข้ามาตรวจสอบ เพราะองค์กรที่ทำหน้าที่ตรวจสอบบางรายไม่ได้อยู่ในมาตรฐาน ขณะที่คนส่วนใหญ่อยู่ในมาตรฐาน ก็จะทำให้ผู้ที่ถูกตรวจสอบนั้นเสียสติ เพราะเกิดความไม่ชัดเจนในตัวกฎหมายหรือหลักวิชาการ บางครั้งก็มีเด็กฝากที่ไม่ค่อยเก่ง ทำงานไม่คล่อง ก็ไม่เกิดการพัฒนา


ผู้สื่อข่าวถามว่า  รายชื่อผู้ที่เข้าตามหลักเกณฑ์ของระเบียบราชการฉบับใหม่ น่าจะได้เห็นออกมาก่อนปีใหม่หรือไม่ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ดูจากแนวทางดำเนินการ ถ้ามีการนำเสนอข้อมูลข่าวสารออกไป ก็จะกระทบกับคนที่ทำงาน เพราะคิดว่าทำให้เกิดปัญหามาก จึงไม่ทำดีกว่า และอาจทำให้ผู้ที่จะได้เข้าหลักเกณฑ์เสียโอกาสไปด้วย  ซึ่งเรื่องนี้ไม่ได้เป็นการบังคับให้ทำ แต่เป็นพัฒนาการของกฎหมาย เพราะพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ.2560 ออกมาตั้งแต่ปี 2560 ผ่านมาจนถึงตอนนี้ ก็เป็นเวลา 5 ปี โดย ในมาตรา 43 ของพระราชบัญญัติดังกล่าว ระบุว่าเมื่อครบเวลา 5 ปี จะต้องสังคายนากฎหมายดังกล่าวว่ามีอะไร  สมดุลหรือไม่สมดุล และต้องมีการปรับแก้ไข แต่ตอนนี้เกิน 5 ปีไปแล้ว ถ้าไม่คิดพัฒนา ก็นอนอยู่เฉยๆ คอยเซ็นหนังสือไปวันๆ


"ถามว่าประเทศจะไหวหรือไม่กับการไม่คิดจะทำอะไร ถ้าทุกคนคิดอย่างนี้หมด ก็จะกลายเป็นประเทศที่คอยใช้แต่เงินงบประมาณที่มีจำนวนน้อย ดังนั้นเราต้องแก้กฎระเบียบข้อบังคับที่จะพัฒนาสู่สากลในทุกด้าน จะทำให้มีช่องทางหาเงินเข้าประเทศได้ ผมอยู่การเมืองมานานกว่า 40 ปี สามารถพูดได้เพราะเห็นชัด"นายสมศักดิ์ กล่าว


ผู้สื่อข่าวถามว่าพรรคเพื่อไทยจะสามารถชี้แจงต่อข้อกังขาของประชาชนที่ยังสงสัยอยู่ได้ใช่หรือไม่ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ชี้แจงได้ และตนที่ไม่ได้เกี่ยว แต่เข้าใจเรื่องนี้ ก็ชี้แจงได้ และออกมาพูดในขณะที่ไม่มีใครพูด เพราะถ้าไม่พูด ก็จะเกิดความเข้าใจผิด และมองเห็นถึงความตั้งใจดีของราชการ แต่ถ้าภูมิคุ้มกันไม่แข็งแรง ก็จะไม่กล้าเดินต่อ ขณะเดียวกัน ถ้าไม่เดินต่อ ความเสียหายก็จะเกิดขึ้นกับคนอื่นที่ควรจะได้รับประโยชน์จากตรงนี้


เมื่อถามว่าหากเป็นอย่างนี้ นายทักษิณจะอยู่นอกเรือนจำไปตลอด จนกว่าจะได้รับพระราชทานอภัยโทษใช่หรือไม่ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ไม่ใช่อย่างนั้น และอย่าไปถามออกนอกกรอบ เรื่องจะอยู่นอกหรือในเรือนจำนั้น เป็นการตรวจสอบของแพทย์ และเป็นเรื่องเอกสิทธิ์ส่วนตัวของผู้ต้องขังด้วย หากเขาไม่ต้องการให้ใครมาเยี่ยม บุคคลนั้นก็มาเยี่ยมไม่ได้ ซึ่งเรื่องนี้ใช้กับผู้ต้องขังทุกคนที่อยู่ในเรือนจำ และต้องขึ้นบัญชีผู้ที่จะเข้าไปเยี่ยมได้  ไม่ใช่อยากจะเข้าไปเยี่ยมหรือเข้าไปตรวจสอบ มันก็ทำไม่ได้ นอกจากนี้ การที่บอกว่าใจไม่กว้าง ปกปิดไม่ให้มีการเข้าเยี่ยม ตนต้องขอย้ำว่ามันมีกฎกติกาในการเยี่ยม ถ้าเจ้าตัวไม่อนุญาต ก็จะมีเพียงทนายความหรือญาติที่สนิทเท่านั้น


ต่อข้อถามว่าคณะกรรมาธิการการตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร ระบุว่าจะขอเข้าไปเยี่ยมนายทักษิณที่ชั้น 14 ของโรงพยาบาลตำรวจ นายสมศักดิ์ กล่าวย้อนว่า ถ้าเขาไม่อนุญาต ก็ทำไม่ได้ เพราะเป็นเอกสิทธิ์ของผู้ป่วย และจะไปถามว่าเป็นโรคอะไร ก็ไม่เปิดเผย แต่ถ้าเปิดเผย ก็ถูกฟ้อง ระเบียบเป็นอย่างนี้กับทุกคนไม่ใช่รายใดรายหนึ่ง



https://youtu.be/4pwxz3SBHos

คุณอาจสนใจ

Related News