เลือกตั้งและการเมือง

'โรม' ซัด รบ.ถูกจูงจมูก นโยบายไม่ดุดันเหมือนหาเสียง - 'วิโรจน์' แนะ 'เศรษฐา' อย่าเกรงใจกลุ่มอำนาจเก่า

โดย nattachat_c

13 ก.ย. 2566

14 views

เมื่อวันที่ 12 กันยายน ที่รัฐสภา มีการประชุมร่วมรัฐสภา เพื่อให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) แถลงนโยบายต่อรัฐสภา ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 162 เป็นวันที่สอง


จากนั้นเวลา 23.09 น. นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) อภิปรายว่า ตนเข้าใจดีว่าการตั้งรัฐบาลของนายกรัฐมนตรีมีหลายขั้ว ทำให้นโยบายของรัฐบาลจึงไม่อาจดุดันไม่เกรงใจ เหมือนตอนหาเสียงเอาไว้ได้ จึงทำให้นโยบายที่ออกมาต้องเกรงใจพวกพ้อง และสุดท้ายวันนี้พรรคแกนนำไม่เหลือนโยบายอะไร ต้องให้พรรคร่วมจูงจมูกกันไป ที่ผ่านมาประเทศมีปัญหาด้านการทุจริตคอร์รัปชั่น ภายในระบบราชการอย่างรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องตั๋วช้าง ซึ่งเป็นความท้าทายของระบบคุณธรรมในระบบราชการของเรา เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ตำรวจต้องทุจริตหาเงินมาซื้อตำแหน่ง ไม่ว่าจะเป็นการตั้งด่านรีดไถให้ประชาชนต้องจ่ายส่วยสินบน รวมถึงสร้างเครือข่ายอำนาจนิยม ทำให้ตำรวจต้องอยู่ภายใต้ระบบอุปถัมภ์ของผู้มีอำนาจ


ระหว่างที่นายรังสิมันต์อภิปรายอยู่นั้น ส.ส.จากพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ประท้วงว่า อยากให้ถอนคำว่ารัฐบาลนี้ถูกจูงจมูก ตนเห็นแต่ควายบ้านตนเท่านั้นที่ถูกจูงจมูก รัฐบาลนี้รวมตัวจากคนที่มีความคิดเห็นร่วมกัน เห็นความสำคัญของบ้านเมืองไม่มีใครจูงจมูกใคร ฉะนั้น ตนขอให้ถอนคำพูดด้วย และเห็นว่าเป็นคำไม่สุภาพ ทำให้มีเสียงหัวเราะจากเพื่อนสมาชิก


ด้านนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา วินิจฉัยขอให้นายรังสิมันต์ถอนคำว่าถูกจูงใจ นายรังสิมันต์ จึงย้อนถามว่า นี่คือคำวินิจฉัยของท่านประธานใช่หรือไม่ นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าวว่า “ใช่ครับ เพราะเสียดสี” นายรังสิมันต์ ตอบกลับว่า “ผมยินดีถอนว่าจูงจมูก เป็นจูงแขนแล้วกัน พอใจนะครับ”


นายรังสิมันต์ กล่าวต่อว่า ถามกันอย่างตรงไปตรงมาว่า ภายใต้รัฐบาลของนายเศรษฐานั้น จะแก้ปัญหาเรื่องระบบอุปถัมภ์ของวงการตำรวจอย่างไร และจะยังมีตั๋วช้างภายใต้นายกรัฐมนตรีคนนี้หรือไม่ ซึ่งนอกจากเรื่องตั๋วช้างแล้วยังมีเรื่องตำรวจราบ ซึ่งเป็นช่องทางให้มีการแทรกแซง แต่งตั้ง โยกย้ายตำรวจให้ข้ามหน่วยงานไปยังหน่วยงานที่เขาไม่รู้จักและไม่อยากไป


นายรังสิมันต์ กล่าวต่อว่า ข้อมูลที่ตนมีทั้งคลิปเสียง มีเอกสารต่างๆ ที่จะเป็นประโยชน์ต่อนายกรัฐมนตรีว่าใครเกี่ยวข้องกับกระบวนการยาเสพติดบ้าง ซึ่งตนต้องบอกว่า สว. 2 คนที่เกี่ยวข้อง ใช้ชื่อย่อว่า สว.ทรงเอ และ สว.พอพาน พูดคุยกับนักธุรกิจชื่อย่อ ‘นายดี้’ เมื่อปี 2564 เพื่อเคลียร์คดียาเสพติด โดยมีตำรวจผู้ใหญ่สองคนเข้ามาเกี่ยวข้อง เริ่มต้นจากนาย อ. ทรงเอ เดิมทีเป็นเจ้าของโรงแรมแห่งหนึ่งในประเทศเพื่อนบ้าน และใช้โรงแรมนั้นเป็นบ่อนการพนัน ดำเนินธุรกิจไฟฟ้าควบคู่กันไป เมื่อ อ.ทรงเอได้เป็น สว. การดำเนินการของนาย อ. ก็ดำเนินการผ่านนอมินี โดยที่นอมินีคนล่าสุดคือลูกเขยตัวเอง ที่ สว.พอพาน จะได้สายสัมพันธ์ให้ส.ว.ทรงเอและนายดี้ได้รู้จักกัน นำมาสู่การตัดสินใจขายธุรกิจบ่อนการพนันให้กับนายดี้ที่มีชื่อเสียงในเรื่องการพนันออนไลน์ หลังจากซื้อขายธุรกิจ ปรากฏว่า บสปช. ก็เข้าไปตรวจสอบนายดี้ ด้วยความตกใจนายดี้จึงมาคุยกับ สว.ทรงเอ เพื่อให้มาเคลียร์ปัญหาให้


นายรังสิมันต์ กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ สว.ทรงเอมีการคุยกับนายดี้ว่าธุรกิจไฟฟ้ามีไว้เพื่อจ่ายไฟเข้าบ่อนการพนัน ซึ่งในอดีตเมืองท่าขี้เหล็กไม่มีไฟใช้ทั้งเมืองจึงได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลในประเทศนั้น และให้สว.ทรงเอคนนี้เป็นตัวแทนในการขายไฟ เพื่อนำไฟมาใช้ในบ่อนธุรกิจการพนัน ซึ่งตนสะดุดกับชื่อบริษัทแห่งหนึ่งคือ ‘หงปัง’ ซึ่งเป็นบริษัทที่มีการเกี่ยวข้องกับพวกว้าแดง หนึ่งในกระบวนการค้ายาเสพติดระดับโลก

------------

ต่อมาเวลา 23.54 น. นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) อภิปรายสรุปคำแถลงนโยบายของรัฐบาลว่า รัฐบาลในอดีตมีการแยกหมวดหมู่ของคำแถลงนโยบาย แต่รัฐบาลนายเศรษฐามีเพียง 14 หน้าและไม่มีการแยกหมวดหมู่นโยบายเหมือนรัฐบาลก่อนๆ การสื่อสารนโยบายก็มีการกลับไปกลับมา อย่างเช่นโครงการดิจิทัลวอลเล็ต 1 หมื่นบาท ที่นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังที่พูดสวนกันไปมาไม่ตรงกัน แบบนี้ข้าราชการจะทำงานได้อย่างไร


นายวิโรจน์ กล่าวต่อว่า ส่วนเรื่องรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมบอกว่าไม่เร่งด่วนเลยไม่ได้ลงรายละเอียด พออีกวันออกมาขอโทษบอกว่าผิดพลาดแล้วบอกว่าจะทำให้เสร็จภายในสองปี แต่พอไปถามนายกรัฐมนตรี ท่านบอกให้รอนิดหนึ่ง ซึ่งผู้ว่าฯ กทม.ก็ฝากถามนายกรัฐมนตรี มาว่าหนี้ค่าก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายเกือบ 6 หมื่นล้านบาท ที่รัฐบาลเดิมบีบให้กทม.รับโอนมาจาก รฟม.นั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมจะตัดสินใจอย่างไร นโยบายที่ไม่ชัด สื่อสารไม่ตรงกัน ชักเข้าชักออกแบบนี้ ถ้าไม่แก้ไขจะเกิดปัญหาในการขับเคลื่อนนโยบาย


นายวิโรจน์ กล่าวว่า สิ่งที่เป็นปัญหาที่สุดในคำแถลงนโยบายฉบับนี้ คือการที่ประชาชนไม่เห็นความทะเยอทะยาน และกล้าที่จะรับปากให้คำมั่นกับประชาชนอย่างที่ควรจะเป็นเลย ซึ่งแตกต่างจากรัฐบาลประชาธิปไตยที่คนไทยภาคภูมิใจก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง อย่างรัฐบาลทักษิณ 1 ที่กล้าลงตัวเลขชัดๆ เช่น การพักหนี้เกษตรกรรายย่อยเป็นเวลาสามปี ตั้งกองทุนหมู่บ้านแห่งละหนึ่งล้านบาท สร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าโดยเสียค่าใช้จ่าย 30 บาทต่อครั้ง หรือรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่กล้าเขียนตรงๆ ว่าแรงงานมีรายได้ไม่น้อยกว่า 300 บาทซึ่งทำได้จริง คนจบปริญญาตรีมีรายได้ไม่น้อยกว่า 15,000 บาท แต่ยุคนายกรัฐมนตรีเศรษฐาค่าแรง 600 บาทภายในปี 2570 ทำไมต้องเขียนคลุมเครือว่าค่าแรงขั้นต่ำที่เป็นธรรม เอาในปี 2567 ค่าแรงขั้นต่ำจะเป็น 400 บาทหรือไม่ แล้วถ้าเศรษฐกิจโตไม่ถึง 5% ค่าแรงจะขึ้นหรือไม่


นายวิโรจน์ กล่าวอีกว่า ส่วนเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุก็ยังไม่ชัดเจน ฟังมาสองวันก็ยังไม่รู้ว่ารัฐบาลนี้จะเอาอย่างไร เขียนแต่เพียงว่าจะดูแลให้มีเกียรติมีศักดิ์ศรี ตนฟังคำนี้บ่อยครั้งมาก ฟังจนหลอน สุดท้ายแล้วผู้สูงอายุ 11 ล้านคนต้องพิสูจน์ความจนหรือไม่ จะได้เงินทุกคนหรือเปล่า ส่วนเงินอุดหนุนเด็กแรกเกิด 2.3 ล้านคนก็ขอให้รีบจ่ายให้ทันภายในวันที่ 18 กันยายน ขอให้นายกรัฐมนตรี ตอบให้ชัดเรื่องนโยบายสวัสดิการจะสร้างเงื่อนไขเพื่อตัดสวัสดิการของประชาชนอีกหรือไม่ ส่วนนโยบายเพิ่มรายได้เกษตรกรก็เขียนแบบคลุมเครือว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ


นายวิโรจน์ กล่าวว่า ตนเห็นใจท่านนายกรัฐมนตรีแต่ยืนยันว่าท่านต้องบอกตัวเองว่าท่านไม่ใช่ลูกน้องของกลุ่มคนเหล่านั้น แต่เป็นนายกรัฐมนตรีของคนไทยทุกคน และท่านต้องเกรงใจประชาชน ไม่ใช่เกรงใจคนเหล่านั้น นายกรัฐมนตรีต้องมีความทะเยอทะยานอย่างที่นายเศรษฐา ทวีสินมีอยู่ในตัวเองอยู่แล้ว และกล้าที่จะตัดสินใจในฐานะหัวหน้ารัฐบาล นายกรัฐมนตรีมีความทะเยอทะยาน กล้าที่จะรับปากให้คำมั่นกับประชาชน ประชาชนก็จะมีความมั่นคงในความดำเนินชีวิต กล้าที่จะฝากชีวิตไว้กับรัฐบาล

และในการพิจารณางบประมาณในวาระที่หนึ่งที่จะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้ หวังว่านายเศรษฐาจะมีความทะเยอทะยานมากกว่านี้ และมีความมั่นใจในฐานะหัวหน้ารัฐบาลมากกว่าวันนี้

-----------


รับชมผ่านยูทูปได้ที่ : https://youtu.be/Ys5OSUI_qfA




คุณอาจสนใจ

Related News