เลือกตั้งและการเมือง

'ชูวิทย์' แฉ 'เศรษฐา' EP.3 ตอกฝาโลง ลั่นตั้ง บ.นอมินี ทั้งนั้น คนแบบนี้จะเป็นนายกฯได้หรือ?

โดย nattachat_c

22 ส.ค. 2566

40 views

วานนี้ (21 ส.ค.66) นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ แถลงข่าวแฉเพื่อชาติ  “EP.3 ตอกฝาโลง” ซึ่งเป็นการแฉ นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกฯรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย  ตั้งบริษัทนอมินี ซื้อที่ดินย่านสุขุมวิท 12 ปั่นราคาสูงถึง 1.8 พันล้านบาท โดยมีคนถือหุ้นนอมินีเป็น “รปภ.”


ก่อนเริ่มแถลง นายชูวิทย์ ระบุว่า จะเจอผมในงานแถลงข่าวครั้งสุดท้าย ที่ผ่านมามีการโจมตีตน โดยวันนี้จะทำให้เห็นว่าคนอย่างตนไม่ได้สิ้นไร้ไม้ตอก ก่อนจะชูเอกสารในมือ เป็นโฉนดที่ดินจำนวน 10,000 ล้านบาท จำนวน 13 ไร่ ใจกลางสุขุมวิท  เพื่อแสดงให้เห็นว่าไม่ได้ติดหนี้แบงค์ โฉนดเก็บไว้


โดยโฉนดแปลงที่เป็นต้นเหตุ คือ แปลงที่มีชื่อ ด.ช.เศรษฐา ทวีสิน ท้ายสุดโฉนดแปลงนี้ตกเป็นของตน โดยที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นบ้านดั้งเดิมของนายเศรษฐา เมื่อถูกแบงก์ยึดแบงก์นำมาขายตน ก่อนนำมาซื้อไว้เมื่อปี  2542 โดยทั้งหมดมี 9 โฉนด นายเศรษฐาพยายามซื้อคืน แต่ตนไม่ได้ขาย    


ก่อนอธิบายว่าที่ดินที่สุขุมวิท 12 เป็นที่ดินเปล่า 2ไร่เศษของบริษัท ศ. (บ.ศิวะแลนด์)  ซึ่งเป็นบริษัทแท้ มีเจ้าของ 4 คน  ทุนจดทะเบียน 175 ล้านบาท โดยที่ดินติดถนนใหญ่


ต่อมานายชูวิทย์ กล่าวถึงการโอนที่ดินซึ่งเกิดขึ้นในวันศุกร์11 มีนาคม 59 โดยมีบริษัท นอมินีซามัว โดยมีผู้ถือหุ้นหลักคือ บริษัท C. อยู่ที่ฮ่องกง (บริษัท Crown city limited ) ถือหุ้น 48.57%  และมีนาย ช. (นายโชคชัย รูปคม) ถือหุ้น 51.43% ซึ่งมีอาชีพเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอยู่ที่จังหวัดมุกดาหาร


จากนั้น ทีมงานคุณชูวิทย์ เป่านกหวีดทำการแแดง เปิดตัว รปภ. ก่อนที่จะพูดว่า เป็น รปภ. หรือ เป็นประธานบริษัท ไหนๆ ขอเปิดเสื้อแจ็คเก็ตดูหน่อย ว่าสรุปแล้วเป็นประธานบริษัทจริงไหม  ก่อนที่จะเห็นข้อความที่เสื้อสกรีนข้อความด้านในว่า “นอมินี” และพูดกว่า เห็นมั้ยเป็น รปภ.อีกแล้ว ครั้งก่อน รปภ.ก็เป็นนอมินี


จากนั้นนายชูวิทย์อธิบายเพิ่มเติม ถึงการทำนิติกรรมในวันศุกร์ที่ 11 มีนาคม 59 ของบริษัท C. ว่ามีการไปปลดจำนองที่ดินในราคา 1,000 ล้านบาท และซื้อหุ้นจากบริษัท ศ. อีก 175 ล้านบาท เท่ากับทุนจดทะเบียน จึงรวมเป็น 1,175 ล้านบาท ซึ่งในวันที่ 11 มีนาคม ยังคงสถานะเป็นบริษัทสัญชาติไทยอยู่


แต่ต่อมาวันจันทร์ที่ 14 มีนาคม 59 ปรากฎว่า บริษัท C. หรือ นอมินีซามัว ได้มีการเปลี่ยนโครงสร้างผู้ถือหุ้น โดยบริษัท C. กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ 99.99% และมีนาย พ. (นายพธศลย์ อาริยชัยนันท์) ถือ 1 หุ้น ส่งผลให้ในขณะนี้บริษัทอยู่ในสถานะเป็นบริษัทนอมินีต่างด้าว  โดยมีนาย พ.เป็นกรรมการผู้มีอำนาจลงนามทุกอย่าง เหมือนกับนาย ส. (นายสมศักดิ์ รปภ. เคสก่อนหน้า)


นอกจากนี้ยังพบว่า บริษัทนอมินีต่างด้าว  ในช่วงบ่ายของวันที่ 14 มีนาคม  59 ได้มีการขายที่ 2 ไร่ ราคาตารางวาละ  565, 000 บาท รวมราคาที่ดิน 499.6 ล้านบาท ให้กับบริษัทลูกของแสนสิริ (บ.พัฒนศิริ) ซึ่งมีบริษัทแสนสิริถือหุ้น 99.99% และนายเศรษฐาถือ 1 หุ้น โดยนำไปจำนองที่ดินกับธนาคารแห่งหนึ่งในวงกู้ 2,556 ล้านบาท


จากนั้นนายชูวิทย์ตั้งคำถามว่า ทำได้อย่างไร ในเมื่อบริษัทนอมินีเป็นบริษัทต่างด้าว  นั่นก็เพราะเอาหนังสือรับรองของวันศุกร์ (11 มีนาคม59) ไปใช้ในวันจันทร์ ที่ 14 มีนากม ให้กรมที่ดินดูเอกสารรับรอง ว่าผู้ถือหุ้นใหญ่ว่ามีนอมินี นาย ช. ที่เป็น รปภ.


จากนั้นนายชูวิมย์ แฉอีกว่า บริษัทลูกของบริษัทลูกของแสนสิริ (บ.พัฒนศิริ) ซื้อที่ดินมาในราคา 499.46 ล้านบาท แต่กลับพบว่า แสนสิริ ลงบันทึกในงบการเงินว่าต้นทุนค่าที่ดิน อยู่ที่ 1850 ล้านบาท  ซึ่งตรวจสอบโดย บ. EY  office   Limited ผู้สอบบัญชีระดับโลก


เมื่อนำเงินต้นทุนที่ระบุในการเงินบริษัท 1,850 ล้านบาท ลบกับ เงินปลดจำนองที่ดิน 1,000 ล้านบาท คงเหลือ 850 ล้านบาท


จากนั้น ลบค่าทุนจดทะเบียนอีก 175 ล้านบาท คงเหลืออีก 675 ล้านบาท  จึงตั้งคำถามว่า เงินดังกล่าวหายไปไหน ก่อนอธิบายเพิ่มว่า เงินทอนตรงนี้ถูกโอนไปที่ฮ่องกง ที่บริษัท C. ซึ่งตั้งอยู่ที่ชั้นที่ 16 ถนนเฮนเนสซี่ ฮ่องกง


โดยนายชูวิทย์ ได้ส่งทีมงานไปตรวจสอบที่ตั้งของบริษัท C. ปรากฏภาพเป็นบริษัทเช่าห้องแถวอยู่  เป็นเพียงบริษัทผี ตั้งไว้หลอกๆ ไว้ ซึ่งยืนยันว่ามันคือ บริษัทนอมินีชัดเจน ทั้งนี้นายชูวิทย์ ระบุว่านี่คือการวางแผนคอรัปชั่นผู้ถือหุ้น


จากนั้น ได้นำแผ่นชาร์ตระบุว่า “Connection Tree” ก่อนอธิบายว่านายพ. (นายพธศลย์ (สกล) เป็นนอมินีคนสำคัญของขงเบ้ง ซึ่งเป็นคู่เขยของนายเศรษฐา โดยภรรยาของนายเศรษฐา และภรรยาของขงเบ้งเป็นพี่น้องกัน โดยขงเบ้งมีลูกสาว ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นอันดับ 7 ของแสนสิริ


ส่วน Connection Tree คนที่สาม คือนาย อ. (นายอภิชาติ จูตระกูล) ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องกับนายเศรษฐา และมีน้าสะใภ้ของนายเศรษฐา และเป็นอาสะใภ้ของนาย อ. เป็นผู้ถือหุ้น 25 % ของบริษัท N. (บ.แนเซอรัล เพลส จำกัด ) ที่มีนาย พ.(นายพธศลย์ หรือ สกล) เป็นกรรมการผู้จัดการ อยู่ควบคู่กับบริษัท R. (บ.เรียลตี้ จำกัด ) ที่มีขงเบ้ง เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ 49.97% ของบริษัทนี้ด้วย


ขณะที่นาย ส. รปภ.เคสก่อนหน้า ที่นายชูวิทย์ระบุว่าเป็นนอมินีในการทำธุรกรรมของเป็นพนักงานของบริษัท รปภ. M. (บ.แม็กซ์ เพาเวอร์ การ์ด จำกัด) มีพี่สาวของขงเบ้ง ถือหุ้นใหญ่อยู่ 33.33% และเป็นกรรมการผู้จัดการ บริษัท อ. (บ.อ่อนนุช แลนด์ จำกัด) ที่เป็นเจ้าของถนนในโครงการ T77 ของแสนสิริ โดยนายส. เป็นคนเซ็นขอ EIA (การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม) ของคอนโด (Khun by YOO


จากนั้นนายชูวิทย์ ตั้งคำถามว่า แบบนี้คุณเป็นนายกรัฐมนตรีได้ยังไงเพราะการกระทำของคุณ มีการจัดตั้งนอมินีทั้งใน และต่างประเทศ และโอนเงิน 675 ล้านบาท เงินทอนตรงนี้ไปไหน


ทั้งนี้ ตนได้ส่งเอกสารถึง สส. และ สว. ทั้ง 750 คน เพื่อพิจารณาคุณสมบัติของนายเศรษฐา กรณีการได้รับการสนับสนุน หรือไม่ได้รับการสนับสนุนก็ได้ แต่ตนมันใจว่า ถ้านายเศรษฐาได้เป็นนายกฯ อยู่ได้ไม่เกิน3 เดือน ครม.เปลี่ยนใหม่หมด เพราะเรื่องราวที่ตนพูดเกี่ยวพันกับนายเศรษฐา // และจะอ้างว่า ไม่รู้จักนาย พ. ไม่ได้ เพราะเป็นนอมินีที่ใกล้ชิดกับขงเบ้ง บุคคลสำคัญอยู่เบื้องหลังนายเศรษฐา

-------------



รับชมผ่านยูทูปได้ที่ : https://youtu.be/EoxeOmSF4S0














คุณอาจสนใจ

Related News