เลือกตั้งและการเมือง

'ชูวิทย์' ร้อง 'บิ๊กโจ๊ก' สอบแสนสิริ 'จัดตั้งบริษัทนอมินี - ฟอกเงิน' เตรียมแฉอีพีสุดท้ายจันทร์หน้า ก่อนโหวตนายกฯ

โดย nattachat_c

18 ส.ค. 2566

221 views

จากกรณี รปภ กู้เงิน บริษัทแสนสิริ ซื้อที่ดิน ราคา 1,000 ล้านบาท ยังคงมีความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจ หลังจากที่ล่าสุดยั งมีการโพสต์ข้อความทางโซเชียล ของคนที่ชื่อ สมศักดิ์ มติยภักดิ์ ด้วยข้อความว่า


รู้สึกขอบคุณ ที่บริษัทแสนสิริ จำกัดมหาชน แสนสิริ Public Company Limited พร้อมกับข้อความ จิบน้ำชารอ พร้อมกับ มีภาพหนุ่มหน้าตาดี นั่งกินกาแฟ เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2557 กรุงเทพฯประเทศไทย ยังคงเป็นกระแส วิพากษ์วิจารณ์ ว่าหนุ่มคนดังกล่าวเป็นใคร ใช่ รปภ. ชาวไร่ที่ตกเป็นข่าวหรือไม่


วานนี้ (17 ส.ค. 66) ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ ไปที่บ้านเลขที่ 2/1 บ้านนาดีหมู่ที่ 10 ตำบลดงสิงห์ อำเภอจังหาร จังหวัดร้อยเอ็ดอีกครั้ง เพื่อติดตามถึงความเป็นมาของ ชายคุณดังกล่าวว่าเป็นใคร เพื่อที่จะให้ พี่สาวคนโต และน้องสาวคนเล็ก ของนายสมศักดิ์ ให้คำตอบว่า ถ้าบุคคลดังกล่าวเป็นใคร แต่ปรากฏว่า นางทองใส มติยาภักดิ์ พี่สาวคนโต และน้องสาวคนเล็ก ออกจากบ้านไปร่วมงานศพญาติคนหนึ่งที่ต่างหมู่บ้าน มีเพียงนายบุญเพ็ง ทริเพ็ง ผู้เป็นพี่เขย อยู่บ้านเพียงลำพังเท่านั้น


ซึ่งเมื่อผู้สื่อข่าวนำภาพ ที่โพสต์ทางโซเชียล ดังกล่าวให้ดู นายบุญเพ็ง ซึ่งดูภาพทั้งหมดแล้วยืนยันว่า ภาพดังกล่าวทั้งหมด คือรูปภาพของนายสมศักดิ์ เป็นน้องเมีย ซึ่งตนเองจำได้ดี ถึงแม้จะ รูปจะดูหนุ่มกว่า เมื่อครั้งเดินทางมาร่วมงาน ทอดกฐิน ทำบุญหาพ่อแม่ เมื่อปลายปี 65 ซึ่งตนเองจำได้อย่างแม่นยำ เพราะเคยพบกันหลายครั้ง จากนั้นก็กลับไป ทำงานที่กรุงเทพฯ และถึงแม้จะไม่ทราบว่า น้องเมีย ที่รู้เพียงแต่ว่าทำงานออฟฟิศอยู่กรุงเทพฯ นั้นไม่ได้ทำงานเป็นรปภ.ตามที่เป็นข่าวอย่างแน่นอน


ส่วนจะทำงานอะไรนั้นตนเองไม่ทราบ เพราะไม่ทราบรายละเอียดทั้งหมด และสำหรับในส่วนของการที่ตกเป็นข่าว ว่ามีเงิน บริษัทแสนสิริ มาซื้อที่ดิน ราคากว่า 1,000 ล้านบาทนั้น ตนก็ไม่มีรายละเอียดในส่วนนี้ แต่จากการสอบถาม ภรรยาที่เป็นพี่สาว ก็ยืนยันว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ ที่จะมีเงินมากมายขนาดนั้น ส่วนความจริงจะเป็นอย่างไรนั้นตนไม่ทราบ เพราะไม่เคยสอบถามเรื่องนี้ เพราะถือว่า เป็นเรื่องส่วนตัวของคนอื่น ซึ่งตนไม่เคยเข้าไปยุ่งอยู่แล้ว


แต่อย่างไรก็ตามเพื่อให้เกิดความชัดเจน ของตัวบุคคลในภาพดังกล่าว ผู้สื่อข่าวเดินทางเข้าพบแกนนำหมู่บ้านนาดี โดยนำภาพดังกล่าวไปสอบถาม นายไพฑูรย์ ลาภะมูล ซึ่งเป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน เพื่อให้ช่วยตรวจสอบ ซึ่งเมื่อนำภาพให้ดู ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านยืนยันว่า ภาพชายหนุ่มคนดังกล่าวก็คือนายสมศักดิ์ ซึ่งชาวบ้านต่างรู้จักดี และมีชื่อเล่นว่ากอล์ฟ


ซึ่งทุกคนต่างยืนยันว่า ภาพที่เห็นคือนายกอล์ฟ แต่ส่วนกรณี เรื่องการกู้เงินจำนวนมาก เป็นพันล้านบาท เพื่อซื้อที่ดิน ในกรุงเทพฯตามที่เป็นข่าว ทุกคนถือว่าเป็นเรื่องเหลือเชื่อ ที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะไม่น่าจะมีเงินมากมาย มหาศาลถึงขนาดนั้น และคงไม่มีใครทราบข้อเท็จจริงเพราะแม้แต่ พี่น้องทุกคนทางบ้าน ก็ต่างไม่มีใครทราบเรื่องนี้

-------------
ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ โพสต์เฟซบุ๊กว่า 


“แม่บ้าน รปภ. เป็นนอมินีใคร?” คนขายจะตั้งนอมินีทำไม? ในเมื่อมีชื่อดั้งเดิม และซื้อที่ดินมาตั้งแต่ปี 2551


แต่ดันมาเปลี่ยนชื่อผู้ถือหุ้น ตอน “แม่บ้าน” กับ “รปภ.” ได้เงินกู้ 1,000 ล้าน จากบริษัทลูกของแสนสิริ ในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2558


ในวันเดียวกันนี้ ทำ 3 นิติกรรม พร้อมกัน คือ


1. ทำสัญญาจดจำนอง 1,000 ล้าน ได้เงิน 1,000 ล้าน จากบริษัทลูกของแสนสิริ


2. เปลี่ยนโครงสร้างผู้ถือหุ้น บ.เอ็น แอนด์ เอ็น (ซื้อหุ้นจากเจ้าของเดิม เปลี่ยนเป็นนอมินี)


3. ปลอดจำนองที่ดินจากธนาคาร LH Bank ที่เจ้าของเดิมจำนองไว้กับธนาคาร


ทุกอย่างล้วนกระทำการในวันเดียวพร้อมกัน


ผู้ขายจะตั้ง “นอมินี” เป็น แม่บ้าน กับ รปภ. รับเงินกู้จากแสนสิริ แล้วจ่ายเงินซื้อที่ดินตัวเองทำไม?


แสนสิริบอกว่าทำสัญญาจำนองที่ดิน จำนวน 1,000 ล้าน กับ บ.เอ็น แอนด์ เอ็น


และยังทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินครอบเป็นเงื่อนไขไว้ด้วย แทนที่จะซื้อตรงกับ บ.เอ็น แอนด์ เอ็น เสียทีเดียว


การที่ต้อง “ทำสัญญาจำนอง 1,000 ล้าน” เพราะต้องการนำเงินสดออกจากบริษัท เป็นกระบวนการ “ยักย้ายถ่ายเทเงิน” เพื่อตัดทอนเงินบวม


ต่อมาในปี 2559 แสนสิริก็ซื้อที่ดินแปลงเดิมนี้ในราคาใกล้เคียงกัน และนำเงินไปชำระหนี้ให้บริษัทที่ให้กู้ ก็คือบริษัทลูกของแสนสิรินั่นเอง


จากนั้น แสนสิริก็นำที่ดินไปจดจำนองกับธนาคารไทยพาณิชย์ ได้เงินกู้ 1,629 ล้าน และไปเสนอขายหุ้นส่วนให้กับ บ.บีทีเอส


อันเป็นการกิน 2 ต่อ กล่าวคือ ได้กำไรจากการบวมค่าที่ และบอกราคาบีทีเอสในจำนวนสูงกว่าที่แท้จริง


ที่จริงแล้ว “ขงเบ้ง” คนข้างกายว่าที่นายกฯ คือคนตั้งนอมินีเพื่อตัดเงินทอนจาก 1,000 ล้าน จ่าย 565 ล้าน เหลือ 435 ล้าน


แค่ถามคนขายย่อมต้องรู้ว่า วันเจรจาขายหุ้น ขายที่ ได้คุยกับใคร?


ผมยื่นหนังสือร้องให้ “บิ๊กโจ๊ก” เรียกนอมินี คนขาย คนซื้อ เจ้าหน้าที่กรมที่ดิน สอบต่อไป


รวมทั้งยื่นต่อ ก.ล.ต. ในฐานะผู้เสียหาย เพราะถือหุ้นแสนสิริไว้จำนวน 20,000 หุ้น


เงินตรงนี้หายไปไหน ไปเข้ากระเป๋าใครมิทราบ?


นอมินีจะเป็นคนของใคร หากไม่ใช่แสนสิริ?

-----------

วานนี้ (วันที่ 17 ส.ค.) เวลา 10.30 น. นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ เดินทางมาที่สโมสรตำรวจ ถนนวิภาวดีรังสิต เพื่อยื่นเรื่องต่อ พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวโทษคณะกรรมการบริษัทแสนสิริ และกลุ่มนอมินี ว่าอาจเข้าข่ายความผิดข้อหาทำเอกสารอันเป็นเท็จ / จัดตั้งบริษัทนอมินี / และฟอกเงิน


นายชูวิทย์ กล่าวว่า วันนี้ได้นำหลักฐานมายื่นเรื่องต่อพลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ โดยเป็นหลักฐานทุกชิ้นของที่ดินทั้งแปลงที่ถนนสารสิน และที่ทองหล่อ โดยที่ดินถนนสารสินนั้น ต้องการยื่นให้ตรวจสอบว่ามีเจตนาในการหลบเลี่ยงภาษีหรือไม่ จากการที่ ใช้วิธีการแบ่งโอน 12 คน 12 วัน และยังมีข้อมูลชิ้นสำคัญ ซึ่งกรมที่ดิน / กรมสรรพากร ล้วนตัดสินมาก่อนแล้วในแนวทางเดียวกัน ซึ่งตนจะนำมายื่นให้ตำรวจตรวจสอบว่า การกระทำดังกล่าวเป็นการหลบเลี่ยงภาษี ไม่ใช่การวางแผนภาษี


ส่วนที่ดินที่ทองหล่อนั้น ตนนำข้อมูลมายื่นให้ตรวจสอบ กรณีที่พบว่ามีการจัดตั้งนอมินี คือ แม่บ้านที่อยู่จังหวัดร้อยเอ็ด และ รปภ. ที่อยู่จังหวัดมหาสารคาม เข้ามาเป็นผู้ซื้อขายที่ดิน โดยหากสงสัยว่า ทั้งแม่บ้านและ รปภ. เป็นนอมินีของใคร ก็ให้ดูหลักฐานในวันที่ 11 ก.พ. 58 ว่านอมินีได้เงินมาจากใคร โดยในวันเดียวกัน พบว่ามีการทำ 3 นิติกรรม คือเปลี่ยนชื่อผู้ถือหุ้นบริษัท N. / กู้เงิน 1 พันล้านบาทจากบริษัทลูกของบริษัทแสนสิริ / และปลดจำนองหนี้กับธนาคาร 465 ล้านบาท


ดยการที่เจ้าของที่ดินในนามบริษัท N. จะขายที่ดินราคา 500 กว่าล้านบาทนั้น แน่นอนว่าต้องมีการเจรจากับผู้ซื้อ ตนจึงจะขอให้พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ เรียกเจ้าของที่ดินในนามบริษัท N. ซึ่งเป็นนายแพทย์อยู่ที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์มาสอบถามว่า ได้เจรจาซื้อขายที่ดินกับใคร และตนเชื่อว่านายแพทย์คงไม่โกหก


นอกจากนี้ จะขอให้เรียกแม่บ้าน และ รปภ. ที่มีชื่อเป็นผู้รับซื้อที่ดิน และกู้ยืมเงินจากบริษัทลูกของบริษัทแสนสิริ แต่ได้ออกมาบอกก่อนหน้านี้ว่าไม่รู้เรื่องและไม่เกี่ยวข้องในการซื้อที่ดิน มาสอบถามว่า สรุปแล้วใครเป็นผู้ไปทำนิติกรรมซื้อขาย / ใครเข้าประชุมบริษัท / ใครไปที่กรมที่ดิน


นายชูวิทย์ ระบุว่า ตนไม่อยากให้เรื่องนี้เป็นเรื่องประเด็นการเมือง จึงขอให้รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ทำการตรวจสอบ เพราะท่านเป็นคนตรงไปตรงมาและชัดเจน หวังว่าบ้านเมืองนี้จะมีคนที่ชัดเจนตรงไปตรงมา แค่เรียกสอบแม่บ้าน / รปภ. / เจ้าของที่ดินเก่า ก็ถือว่าจบแล้ว


นายชูวิทย์ กล่าวต่อว่า บริษัทแสนสิริ มีพฤติการณ์เข้าข่ายฉ้อโกงนำเงินของประชาชนไปให้กู้ผิดกฎหมาย หลายบท หลายกรรม เรื่องนี้จำเป็นที่รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ต้องทำให้ชัดเจน ไม่เช่นนั้น ตลาดหลักทรัพย์จะกลายเป็นตลาดหลักโกง และเงินส่วนต่าง 400 กว่าล้านบาทนั้นหายไปไหน ตนก็หวังว่า รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จะทำเรื่องนี้ให้ปรากฏ


เมื่อถามว่ากรณีของบุคคลที่เป็นนอมินี จะเป็นการถูกสวมบัตรประชาชนหรือไม่ เพราะเจ้าตัวออกมาปฎิเสธว่าไม่รู้เรื่อง นายชูวิทย์กล่าวว่า ตามหลักที่ธนาคารจะปล่อยกู้เงินหลัก 1 พันล้านบาท ธนาคารต้องตรวจสอบผู้กู้อย่างเข้มงวด คงไม่ได้ง่ายเหมือนการกู้เงินผ่านแอปพลิเคชั่น


เมื่อถามต่อว่า กรณีมีผู้ออกมาเปิดเผยข้อมูลว่าการขายที่ดินของบริษัทของลูกนายชูวิทย์ มีการขายที่ดินมูลค่ากว่า 2 พันล้านบาท และหลบเลี่ยงภาษีกว่า 900 ล้านบาท พฤติการณ์นี้เหมือนของบริษัทแสนสิริหรือไม่ นายชูวิทย์ ถามกลับสื่อมวลชนว่า รู้ไหมว่าตนเรียนจบอะไร ตนเรียนจบภาษี ไม่เคยมีนอมินี


นายชูวิทย์ กล่าวอีกว่า ในวันจันทร์ที่ 21 ส.ค. นี้ เวลา 13.00 น. ตนจะเปิดโปงเรื่องนี้เป็นอีพีสุดท้าย ก่อนวันโหวตนายกรัฐมนตรี โดยได้มีการแกะร่องรอยไปจนถึงสถานที่แห่งหนึ่งที่อยู่ในต่างประเทศ ที่จะทำให้เห็นว่าบริษัทนอมินีที่ตั้งขึ้นมา มีตัวตนจริงหรือไม่ หรือเป็นเพียงเปลือกนอก เอาที่อยู่มาสวมไว้ โดยพบว่ามีการยักย้ายถ่ายเทเงินไปที่บริษัทดังกล่าวถึง กว่า 1,300 ล้านบาท


ขณะที่พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ กล่าวว่า จะรับเรื่องที่นายชูวิทย์นำมายื่นไว้ดำเนินการตรวจสอบทุกกรณี เพื่อให้ความจริงปรากฏต่อสังคม โดยจะทำอย่างตรงไปตรงมา หากพบว่ามีการกระทำผิดก็ต้องดำเนินการ ซึ่งจะเร่งรัดดำเนินการให้เร็วที่สุด และจะเรียกสอบพยานบุคคลตามที่นายชูวิทย์ได้ยื่นหลักฐานมา พร้อมเน้นย้ำว่า บ้านเมืองมีระบบการตรวจสอบ หากใครคิดจะโกงนั้นทำไม่ได้แน่นอน

-----------





รับชมผ่านยูทูปได้ที่ : https://youtu.be/7cVZH5MQxeQ



คุณอาจสนใจ

Related News