เลือกตั้งและการเมือง

'ชูวิทย์' ยื่นกรมสรรพากรตรวจสอบ หลังงัดหลักฐานแฉ 'เศรษฐา' ร่วมเลี่ยงภาษีที่ดิน ทำรัฐเสียหายกว่า 521 ล้านบาท

โดย weerawit_c

5 ส.ค. 2566

446 views

จากกรณีที่เมื่อวันที่ 3 ส.ค.66 ที่ผ่านมา นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ งัดเอกสารแฉนายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกฯรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย ซึ่งระบุว่าเป็นการ“แฉเพื่อชาติ”   ซึ่งจะมีทั้งหมด 10 Ep. โดย Ep.1 ที่ออกมาแฉใช้ชื่อว่า “12 วัน 12 คน” เกี่ยวกับพฤติการณ์ของนายเศรษฐา สมัยที่ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ ของบริษัทแสนสิริ จำกัด (มหาชน) ร่วมเลี่ยงภาษีที่ดิน ทำรัฐเสียหายกว่า 521 ล้านบาท พร้อมลั่นว่าไม่มีคุณสมบัติเป็นนายกฯ ที่ดี และตั้งคำถามหากได้ตำแหน่งแน่ใจหรือจะช่วยนายทุนเลี่ยงภาษี


ล่าสุดวานนี้ (4 ส.ค.66) นายชูวิทย์ เดินทางมาที่กรมสรรพากรเพื่อยื่นหนังสือให้ตรวจสอบได้นายเศรษฐาว่า พฤติกรรมเหล่านี้เข้าข่ายการเลี่ยงภาษีหรือไม่


นายชูวิทย์ เปิดเผยก่อนจะยื่นหนังสือว่า  เราอยากได้นายกประเภทไหน เราอยากได้นายกที่เป็นนายทุน ที่ไม่รู้จักรับผิดชอบชั่วดี   เราอยากได้นายกที่หลบเลี่ยงภาษี เราอยากได้นายกที่ช่วยผู้กระทำความผิด เราอยากได้นายกที่ไม่รู้เลย ว่าการเสียภาษีเป็นภาระหน้าที่ของประชาชนทุกคน


แต่นายเศรษฐา พฤติการณ์เป็นที่ชัดเจนเป็นผู้ร่วม พร้อมย้ำว่า ใช้คำว่าร่วมกระทำความผิดหลบเลี่ยงภาษี ผู้ซื้อผู้ขายโยนกันไปโยนกันมา  ถ้าบอกว่าผู้ขาย ก็ให้ผู้ขายออกมายืนยัน  ซึ่งแน่นอนว่าเป็นประเด็นสำคัญ มีการซื้อที่ดินต่อตารางวาในโฉนดแปลงเดียวกันแตกต่างกัน และยังได้ทำรายงานการประชุม1 ฉบับ แต่แยกเป็นรายงานย่อยตามรายชื่อ 12 ฉบับ


ส่วนประเด็นสำคัญ ที่มีคนมาโจมตีตนเองว่าการออกมาพูดนั้น เป็นการเตะหมูเข้าปากหมา ต้องบอกว่าพรรคเพื่อไทย ยังมีแคนดิเดตอีกสองคนคือ อุ๊งอิ๊ง นางสาวแพทองธาร ชินวัตร และนายชัยเกษม นิติสิริ และการที่นายเศรษฐามาบอกว่า ตอนนั้นเป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ เป็นผู้เซ็นอย่างเดียวอย่างอื่นไม่รู้ หากนายกชื่อเศรษฐาไปเซ็นอะไรไว้ แล้วอ้างว่าไม่รู้ ให้ลองไปถามนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ เรื่องการเซ็นจำนำข้าว ส่วนนายทุนอีกหนึ่งคน นายทักษิณ ชินวัตร ขายที่ดินที่รัชดา ศูนย์วัฒนธรรมในวันที่ 31 ธันวาคมเพื่อเลี่ยงภาษี  ที่มีการเปลี่ยนแปลงให้วันที่ 31 ธันวาคมเป็นวันทำงาน นั่นก็คือเหมือนกับนายเศรษฐาทุกประการ


จากนั้นนายชูวิทย์ ได้ชูหนังสือขึ้นมาเล่มหนึ่งและบอกว่า ตั้งใจเขียนไว้ ก่อนที่ตนจะเดินทางไกล “ชีวิตที่พลิกผัน จากสภา สู่ เรือนจำ  หากคุณไม่อยากติดคุกต้องอ่านหนังสือเล่มนี้  แฉทุกเม็ด ตามสไตล์ ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์” หนังสือเล่มนี้อยากเขียน และมอบให้คุณเศรษฐา ผู้ที่คิดว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย พร้อมระบุว่า คนในพรรคเพื่อไทย น่าจะต้องมองที่นางสาวแพทองธารแล้ว เนื่องจากการเอา นายเศรษฐาขึ้นมา รับประกันได้ว่าจะมีปัญหาแน่นอนเพราะตนยังมีถึง Ep.10


นายชูวิทย์ กล่าวต่อว่า นายเศรษฐาจะเป็นผู้ที่เป็นนายกฯในวันแรก อย่างไม่บริสุทธิ์ เพราะนายเศรษฐา ในวันที่เป็นพ่อค้าวานิช เป็นเจ้าสัว สมองคิดแต่กำไร ยังมีพฤติการณ์บอกได้ด้วยว่าอันนี้เป็นของผู้ขาย ผมเป็นผู้ซื้อไม่เกี่ยว แต่การที่คุณไปทำนิติกรรม มันเป็นผู้ซื้อผู้ขายร่วมกันกระทำ


ช่วงหนึ่ง นายชูวิทย์นำแผ่นชาร์ทมาให้ดู ซึ่งเป็นตัวเดียวกับที่เสนอต่อสื่อมวลชนเมื่อวันก่อน ที่มีการหารเฉลี่ยราคาขายต่อตารางวาของทั้ง 12 คนที่ไม่เท่ากัน ก่อนย้อนถามว่า แปลกไหม ใครจะยอมขายในราคาไม่เท่ากัน บางคนขายถูกกว่าอีกคน โดยปกติแล้ววิญญูชนไม่มีใครขายแบบนี้ และ 12 คน คือแบ่งตามส่วน โฉนดเดียวกัน เพราะฉะนั้นเป็นไปไม่ได้ที่จะซื้อขายในตารางวาที่แตกต่างกัน และมาอ้างว่าผู้ขายอยากขายแบบนั้น  


พร้อมกันนี้ ได้ยกตัวอย่างการจ่ายเงิน เช่น คุณประไพ ขายในราคา 620 ล้าน ชำระแบบ 2 ส่วนคือ เงินสด และเช็คซึ่งเงินสดจำนวน 220 ล้าน ส่วนเช็ค 400 ล้าน คุณก็อายจะตั้งข้อสังเกตว่าเอาเงินสดที่ไหน 220 ล้านไปจ่าย ตนก็จะบอกว่า ตรงเงินสดมีเศษหมด มัดจำอะไรมีเศษด้วย ซึ่งตรงนี้คือเงินบวม มันไม่ใช่เงินมัดจำ ซึ่งก็คือเงินที่เข้ากระเป๋าใครบางคนเพราะถ้าเป็นบริษัทตลาดหลักทรัพย์ เพราะแม้แต่ 2,000 บาทยังเขียนเช็คเลย เพราะฉะนั้นถ้าอ้างว่าจ่ายเงินสดบางส่วน ก็เอาเช็คมาโชว์หน่อยว่าเขียนชื่อใคร รับประกันว่าไม่ได้เขียนเป็นชื่อเจ้าของ เพราะคุณเอาเงินตรงนี้ไปแบ่งกันเป็นเงินมัดจำบางส่วน เงินเข้ากระเป๋าบางส่วน และเป็นเงินค่าธรรมเนียมภาษี


จากนั้น นายชูวิทย์ กล่าวอีกว่า นายเศรษฐาเป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่เพราะฉะนั้นบริษัทอสังหาริมทรัพย์อันดับหนึ่งของประเทศไทย จะไม่ทราบเชียวหรือว่าวิธีการโอนแบ่งเป็น 12 วัน 12 คนจะไม่เข้าวิธีการหลีกเลี่ยงภาษี ขนาดตนเป็นบุคคลธรรมดามองปราดเดียวยังรู้เลย


และที่บอกว่าผู้ขายเป็นผู้ขอเปลี่ยนวิธีการโอนเอง อยากถามว่าหากเห็นว่าวิธีการโอนดังกล่าวเป็นวิธีการที่ผิด ทำไมจริงยอมร่วมกระทำกับเค้าได้อย่างไร   ยอมทำรายงานการประชุม 1 ฉบับ คัดย่อออกมาเป็น 12 คน เพื่อไปโอนได้อย่างไร นี่เป็นคำถามของตนที่ต้องการจะถามนายเศรษฐา และรับประกันได้ว่านายเศรษฐาตอบไม่ได้  พร้อมแนะนำให้นายเศรษฐาถอยดีกว่า


ส่วนการที่พรรคเพื่อไทยบอกว่า ตนไปโจมตี นั้นเข้าใจผิด ตนเองเป็นประชาชนคนหนึ่งที่เสียภาษี ถ้านายเศรษฐาเป็นกรรมการผู้จัดการบริษัทแล้วบอกว่าไม่รู้ เซ็นอย่างเดียววันนึงนายเศรษฐาเป็นนายก และพูดประโยคเดียวกันว่าเซ็นอย่างเดียว และไม่รู้ พวกคุณจะรับได้หรือไม่


นั่นคือสิ่งที่จะอธิบายว่าระหว่างพ่อค้ากับการเป็นนายกรัฐมนตรีแตกต่างกัน เพราะการเป็นพ่อค้าไม่มีคนไปยุ่งเกี่ยวกับคุณ ก่อนบอกว่าซื้อแบบนี้ ผู้ถือหุ้นเจ๊งหมด เพราะซื้อในราคา 4,000,000 บาทต่อตารางวา ในช่วงเวลาปี 62 ซึ่งไม่มีราคานี้ในประเทศไทย แต่เป็นการปั่นราคาขึ้นมา ซึ่งก็คือวิธีการของอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่ การตั้งราคาเกินจริง เพราะราคาประเมินในปี 62 ยังอยู่ที่ประมาณ1 ล้านบาทอยู่เลย


ดังนั้น จึงได้นำเอกสาร ทั้งใบเสร็จ วาระการประชุม เอกสารที่มีการโอน 12 วันแบ่งเป็น 12 คน คนละวัน และเอกสารที่เกี่ยวข้องทั้งหลายนำมาให้อธิบดีกรมสรรพากรได้ตรวจสอบ ว่าพฤติการณ์แบบนี้เข้าข่ายการเลี่ยงภาษีเป็นผู้กระทำความผิด  พร้อมกล่าวว่าคดีนี้ไม่หมดอายุความมีทั้งปรับ และมีทั้งโทษจำคุก โทษจำสูงถึง 7 ปี และอันนี้เป็น 12 วัน เท่ากับ 12 กรรม ต่างกรรมต่างวาระ ดังนั้นนายเศรษฐาติดคุก ตนถึงบอกว่าชีวิตที่พลิกผัน


ขณะเดียวกัน นายกิตติพล สิงห์ทน หัวหน้าส่วนประชาสัมพันธ์ รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสำนักงานเลขานุการกรมสรรพากร เป็นตัวแทนลงมารับหนังสือ นายชูวิทย์ พร้อมระบุว่า เบื้องต้นรับหนังสือไปตรวจสอบ ส่วนจะเข้าข่ายเลี่ยงภาษีหรือไม่นั้นขอตรวจสอบอย่างครบถ้วนก่อน ตามขั้นตอนถ้าหากมีข้อสงสัยก็ต้องเชิญตัวนายเศรษฐาเข้ามาให้ข้อมูล


จากนั้นนายชูวิทย์ ได้อธิบายถึง แนววินิจฉัยกรมสรรพากร เรื่องภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีธุรกิจเฉพาะกรณีการขายที่ดินซึ่งถือกรรมสิทธิ์ร่วมกัน ให้ จนท.กรมสรรพากรฟัง ระบุว่า “แม้จะได้มีการบรรยายส่วนการถือกรรมสิทธิ์ไว้แต่หากไม่ได้จดทะเบียนบรรยายถึงว่าของใครอยู่ส่วนไหนเป็นจำนวนเนื้อที่เท่าใดชัดแจ้งแล้วกรณีถือได้ว่าบุคคลเหล่านั้น เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วม ตามมาตรา 1356 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์


ประกอบกับเมื่อตามข้อเท็จจริงบุคคลทั้งหมดได้ที่ดินดังกล่าวมาพร้อมกันและได้ขายให้กับผู้ซื้อซึ่งเป็นบริษัทเดียวกันในเวลาพร้อมกันมิใช่แต่ละคนแบ่งแยกขายเฉพาะส่วนของตน กรณีถือได้ว่าบุคคลเหล่านั้นโดยเจตนาร่วมลงทุนในการขายที่ดินแปลงดังกล่าวจึงต้องเสียภาษีในนามห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียนหรือคณะบุคคลที่ไม่ใช่นิติบุคคล เจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมแต่ละคนจะแยกยื่นเสียภาษีในนามของตนเองไม่ได้”


จากนั้นนายชูวิทย์ ยกตัวอย่างการขายหุ้นของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ขายหุ้นชินฯให้  เทมาเส็ก ในตลาดหลักทรัพย์จึงไม่ต้องเสียภาษี ซึ่งจุดนี้ถือได้ว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่ทำไมคนถึงโกรธ ก็เพราะว่าร้านก๋วยเตี๋ยวข้างทาง สรรพากรไปนับชามก๋วยเตี๋ยว แล้วประเมินว่าควรเสียภาษี ขณะที่ร้านก๋วยเตี๋ยวเสียภาษี แต่นายทักษิณโอนหุ้นเป็นหมื่นล้านไม่เสียสักบาท ซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกต้องไม่ได้ทำผิด กรณีนี้เช่นกัน สองผัวเมียอยู่บ้านหลังเดียวกัน แต่ไม่ได้จดทะเบียน และคนละนามสกุล จากนั้นได้นำบ้านหลังนี้ไปขาย แต่กรมสรรพากรตีความว่า 2 คนนี้คือคณะบุคคล ดังนั้นสองคนนี้มีหน้าที่ไปเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา


ฉันใดฉันนั้น ถ้านายเศรษฐา บริษัทมหาชนได้ซื้อที่ดินและร่วมกันหลบเลี่ยงภาษี 521 ล้าน ขอถามหน่อยว่า หนีคำว่าคณะบุคคลเพราะโอน 1 วันคนเดียว แทนที่จะโอน 1 วัน 12 คน เพื่อหลีกเลี่ยงภาษี 521 ล้าน แต่ผัวเมียคู่นี้อยู่ด้วยกัน ไม่ได้จดทะเบียนกัน หนีไม่ได้ แล้วหากไปโอนขอโอนเมียวันนี้ ส่วนผัวโอนอีกวัน คนซื้อจะยอมหรือไม่ ซึ่งแน่นอนว่าคนซื้อไม่ยอม แต่ทำไมกรณีของนายเศรษฐาผู้ซื้อถึงยอมโอนวันละคน


นายชูวิทย์ ยังกล่าวว่า พฤติการณ์ทั้งหมดเหล่านี้ชัดเจนว่ากรมที่ดิน พนักงานที่ดินสมคบคิดให้ทำ ถ้าพนักงานที่ดินไม่ให้ทำ คงทำแบบนี้ไม่ได้ และมีที่ไหนที่ดินโฉนดเดียวไปโอน 12 วัน เพื่อหลีกเลี่ยงคำว่า “คณะบุคคล”


เมื่อถามถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทยตั้งคำถามว่าทำไมถึง เลือกมาพูดในช่วงการโหวตนายกรัฐมนตรี ในเมื่อน่าจะมีข้อมูลมานานแล้ว นายชูวิทย์ระบุว่า On the right time เวลาและจังหวะต้องเหมาะกับการที่นายเศรษฐาเสนอตัวเป็นนายกฯ ขณะเดียวกันพรรคเพื่อไทย มีแคนดิเดตนายกฯรัฐมนตรีถึง 3 คน ในเมื่อพรรคเพื่อไทยเสนอนายเศรษฐาขึ้นมาต้นจึงจำเป็นต้องพูด แต่ถ้าเป็นการเสนอนางสาวแพรทองธาร ขึ้นมาแล้วไปพูดทำไม  


ทั้งนี้ อย่างที่ได้บอกไปการเป็นนายกฯ ต้องสง่างาม แต่ถ้าคุณเอานายทุน  มีพฤติการณ์แบบนี้มาเป็นนายกของตน ในฐานะประชาชนขอยืนยันว่ามีสิทธิ์พูด ส่วนกรณีที่พรรคเพื่อไทยพยายามบอกว่านายชูวิทย์ พยายามดิสเครดิตพรรคเพื่อไทย เพราะอสังหาริมทรัพย์แบบนี้มีการเปลี่ยนโอนลักษณะนี้อยู่แล้ว นายชูวิทย์ ขอยืนยัน พฤติการณ์ของ บมจ.แสนสิริ เป็นพฤติการณ์ที่ผิดมาก ติดทั้งธรรมาภิบาลและความเชี่ยวชาญ


ทั้งนี้ มีการอ้างว่าเป็นเรื่องของผู้ขายที่ดิน หากผู้ขายคนเดียวแต่ผู้ซื้อไม่มามันไม่เกิดการซื้อขาย ดังนั้นผู้ซื้อและผู้ขายต้องร่วมกัน และประหลาดมากที่ผู้ขายมาขอเปลี่ยนวิธีการ ผู้ซื้อใน บ.แสนสิริก็แปลกมากที่ให้ทำ


เมื่อถามถึงกรณีที่นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทยตั้งคำถามถึงนายชูวิทย์ว่าที่ทำภารกิจนี้ “เพื่อหวังล้มนิดชุบชีวิตใครหรือไม่?” นายชูวิทย์ กล่าวว่า นายอนุสรณ์ อย่ากระสันอยากจะเป็นรัฐมนตรีมากเกินไป และขอยืนยันว่าสิ่งที่ตนพูดเพื่อเป็นการปกป้องประชาชนที่เสียภาษี และปัจจุบันนี้พรรคเพื่อไทยก็ไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่ดี  โซซัดโซเซ และก็เห็นอยู่แล้วว่าคุณเป็นพรรคตระบัดสัตย์ ซึ่งตนไม่อยากพูดในเรื่องการเมือง คุณก็พยายามมาเอาไปยุ่งเกี่ยวกับการเมืองให้ได้ ก่อนจะย้ำว่าที่พูดถึงนายเศรษฐา ซึ่งเป็นนายทุนวานิช พ่อค้าใหญ่มาเป็นนายกของประชาชน ซึ่งการเป็นนายกต้องมีความซื่อสัตย์ แต่กลับมีพฤติกรรมอำพรางแบบนี้ คุณรับได้หรือไม่


เมื่อถามว่ากลัวหรือไม่ว่าจัดตั้งรัฐบาลจะไปถึงมือพรรคอันดับ 3 อย่างนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย นายชูวิทย์ กล่าวว่า แล้วทำไมต้องคิวของนายอนุทิน เพราะตอนนี้คิวของพรรคเพื่อไทย ซึ่งมีแคนดิเดตถึง 3 คน แล้วทำไมไม่ชูอีก 2 คนขึ้นมา ถ้าหากบอกไม่พร้อมแล้วส่งชื่อมาทำไม ส่วนการจัดตั้งรัฐบาลจะไหลไปถึงไปถึงพรรคพลังประชารัฐหรือไม่นั้น ตนไม่ทราบจริงๆ


ช่วงท้ายนายชูวิทย์ โชว์ลีลาผิวปาก พร้อมทำมือขึ้นลง แสดงถึงว่า “ตกสวรรค์”  เมื่อถามว่าใครตกสวรรค์ นายชูวิทย์ บอกว่า “ชีวิตคน มีโอกาสเป็นนายกฯครั้งเดียวในชีวิต แต่ตกสวรรค์อ่ะเศรษฐา” ก่อนจะทิ้งท้ายว่า คุณโชคไม่ดีนะที่มาเจอผมตอนใกล้ตาย และจากนั้นขอให้ติดตามความเข้มข้นที่เหลืออีก 10 Ep. ซึ่งจะเพิ่มดีกรีแฉอย่างแน่นอน ส่วนตอนต่อไปเตรียมพบกับคือ Ep. 2 ชื่อว่า “ปั่น”


ขณะที่ด้านนายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี|พรรคเพื่อไทย (พท.) ทวีตข้อความผ่านทวิตเตอร์เบอร์ส่วนตัว ระบุว่า “ผู้ไม่ประสงค์ดี แฮกทวิตเตอร์แอคเคาท์ของผม และทำการแก้ไขข้อความเดิม เพื่อปลุกปั่นและสร้างความเข้าใจผิด เอาเรื่องให้ถึงที่สุดครับ”



https://youtu.be/lnuHSgSx7BY

คุณอาจสนใจ

Related News