สังคม

ครูสาวแฉคลิปครูเตะนร.ป.3 จนเด็กผวาหนีออกรร.แถมใช้เงินบริจาคกินเที่ยวร้องคาราโอเกะ

โดย onjira_n

21 พ.ค. 2566

2.6K views

ครูสาวสุดทนเปิดหน้าแฉแหลก คลิปวงจรปิด เด็ก ป.3 ในโรงเรียนแห่งหนึ่งในพื้นที่อำภอเชียงดาว จ.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นโรงเรียนกินนอนเด็กมาพักในหอพักของโรงเรียน ถูกครูในโรงเรียนลงโทษด้วยลำแข้งจนผวาหนักหนีออกจากโรงเรียน แถมเงินบริจาคช่วยเด็กด้อยโอกาสถูกเบิกไปเที่ยวทะเล-ร้องโอเกะ จนเงินกองทุนฯเกือบหมด ล่าสุดหลังจากที่ตกเป็นข่าว มีผู้ใหญ่โทรมาเคลียร์จะช่วยย้ายให้ไปอยู่ในกรุงเทพ และกับการปิดปากไม่พูดต่อ แต่ได้ปัดข้อเสนอไปแล้วอย่างให้ความจริงได้ปรากฏ

นางสาวเพชรรัตน์  ตำแหน่ง ครู คศ.1 รักษาราชการแทนในตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านแม่แมะ ( อันดับ 2 ) ต.แม่นะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ โพสต์ลงในเฟซบุ๊กส่วนตัว เปิดหน้าแฉพฤติกรรมของครูและบุคลากรในโรงเรียนบางคนที่ทำหน้าที่อย่างไร้จิตสำนึก ทำร้ายได้แม้กระทั่งเด็กนักเรียนไร้ทางสู้ ซึ่งเธอมองว่าเข้าข่ายทำร้างร่างกายและทารุณกรรมเด็ก

โดยนางสาวเพชรรัตน์ได้นำคลิปภาพเหตุการณ์จากกล้องวงจรปิดที่ครูผู้ดูแลหอพักของโรงเรียน ถือไม้เรียวสอบสวนความผิดเด็กนักเรียนชายสี่คนบนลานข้างหอพัก หลังพบว่าขนมในห้องพักครูถูกขโมยไป ในภาพจะเห็นว่าครูคนดังกล่าวสอบสวนเด็กในลักษณะท่าทีข่มขู่ ก่อนจะใช้เท้าเหยียบบ่าของเด็กชายคนหนึ่งและถีบจนล้มลง จากนั้นได้ใช้ไม้ตีเด็กชายอีกคนหนึ่งที่อยู่ข้าง ๆ กันและใช้เท้าเตะจนล้มคว่ำ ขณะที่เด็กชายทั้งสองร้องไห้และอยู่ในอาการหวาดกลัว หลังเกิดเรื่องทำให้เด็กชาย ป.3 อายุถ 10 ขวบ หนึ่งในสองเด็กที่ถูกทำร้ายหวาดผวาหนักจนไม่กล้ามาโรงเรียนอีกเลย โดยหนีกลับไปอยู่กับมูลนิธิเอกชนที่อุปการะอยู่ก่อนหน้า

นางสาวเพชรรัตน์ เปิดเผยว่า เหตุการณ์ในคลิปเกิดขึ้นในช่วงเช้าของวันที่ 17 มกราคม 2566 ที่ผ่านมา โดยก่อนหน้านี้มีครูบางคนมาเล่าให้ฟังและบอกว่าอยากดูคลิปหรือไม่ เธอเองไม่ชอบความรุนแรงจึงไม่ดู แต่ในใจลึก ๆ ก็มองว่าเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง แต่ยอมรับว่าเก็บเงียบไว้และร่วมกันปกปิดเพราะกลัวมีผลกระทบกับหน้าที่การงาน เพราะเธอทำหน้าที่เป็นรักษาการผู้อำนวยการโรงเรียนในลำดับที่ 2 หากเป็นเรื่องขึ้นมาอาจติดร่างแหถูกลงโทษไปด้วยในฐานะผู้บังคับบัญชา

ความรุนแรงต่อเด็กไม่ได้มีแค่เหตุการณ์ในคลิปเท่านั้น แต่เมื่อเดือนตุลาคม 2565 ครูผู้ดูแลหอพักคนเดียวกันนี้ยังได้ลงโทษเด็กนักเรียนชายคนหนึ่งที่คิดว่าไปพังประตูห้องน้ำ แต่สุดท้ายเป็นการทำร้ายผิดคน ซึ่งเด็กคนนี้อายุ 11 ขวบ หวาดกลัวหนักจนวิ่งหนีเข้าป่า ก่อนที่ภายหลังจะยอมกลับมาเรียน

กระทั่งเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ครูฝ่ายการเงินได้นำเอกสารแผ่นหนึ่งมาให้ดูและขอให้ช่วยเหลือ เป็นเอกสารที่ระบุว่าผู้บริหารและครูบางคนได้เบิกเงินในกองทุนช่วยเหลือเด็กที่มีผู้ใจบุญบริจาคมาให้ นำไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ เมื่อสอบถามทำให้ทราบว่ามีการเบิกเงินอ้างว่าไปราชการที่จังหวัดภูเก็ตเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม ที่ผ่านมา มีทั้งค่าตั๋วเครื่องบิน ค่าที่พัก ค่าอาหาร ค่าเหมารถ ค่าน้ำมันรถ รวมเป็นเงินกว่า 37,100 บาท แต่ความจริงกลับเป็นการเดินทางไปส่งผู้บริหารระดับเขตคนหนึ่ง โดยที่ไม่มีหนังสือไปราชการตามระเบียบ

นอกจากนี้ยังทราบด้วยว่ามีการเบิกเงินจากกองทุนเดินทางไปที่ อ.แม่สาย จ.เชียงราย เพื่อไปซื้อโซลาร์เซลล์ แต่กลับพบว่านำเงินบางส่วนไปเที่ยวคาราโอเกะ โดยมีครูคนหนึ่งที่เดินทางไปด้วย หลุดพูดตอนมึนเมาว่า "เสียดายจังที่ครูไม่ได้ไปด้วย ทั้งจับ จก ล้วง" และ อีก 1 คน ที่พูดว่า "จองโรงแรมไม่ได้นอนเพราะอยู่ยันตี 5" รวมถึงยังบอกเล่าถึงการเช็คบิลว่าใช้เงินไป 15,000 บาท ซึ่งทั้งหมดเป็นเงินจากบัญชีกองทุนสนับสนุนของโรงเรียนหรือที่เรียกว่าเงินบริจาค

โดยทราบว่าก่อนเปิดเทอมมีเงินบริจาคในกองทุนประมาณสองแสนบาท แต่ตอนนี้เหลือเพียงสามหมื่นกว่าบาทเท่านั้น นางสาวเพชรรัตน์ บอกว่า เธอได้บรรจุเป็นข้าราชการครูในปี 2560 ที่กรุงเทพมหานคร แต่ด้วยความใฝ่ฝันอยากเป็นครูบนดอย ทำให้ในปี 2565 จึงเลือกขอมาบรรจุที่โรงเรียนแห่งนี้ แต่เมื่อมาเจอเรื่องแบบนี้มากขึ้นเรื่อยๆ จึงสุดที่จะรับได้และตัดสินใจนำเรื่องราวออกมาแฉ ด้วยความหวังว่าจะทำให้ระบบเหล่านี้หมดสิ้นไปเสียที โดยเธอรู้สึกแย่ที่เด็ก ๆ ที่เป็นเด็กดอยฐานะยากจนและเป็นกลุ่มด้อยโอกาสต้องมาถูกทำร้ายและอยู่อย่างหวาดกลัว รวมทั้งต้องเสียโอกาสในการออกนอกระบบการศึกษา รวมทั้งการนำเงินบริจาคไปใช้

โดยเธอบอกว่าการออกมาเปิดเผยเรื่องราวในครั้งนี้ พร้อมที่จะโดนปลดออกหรือไล่ออกจากราชการ แต่จะยืนยันว่าจะไม่ลาออกเด็ดขาด เธอยอมแลกทุกอย่างแม้กระทั่งอนาคตหรือชีวิตเพื่อขอให้ระบบนี้มันไม่เน่าไปกว่านี้

“ ข้าพเจ้ารักในอาชีพครูแล้วก็พร้อมที่จะต้องไปเริ่มอาชีพใหม่ที่สุจริตด้วยเช่นกัน ส่วนการร้องเรียนหน่วยงานบังคับบัญชาของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่แน่ใจว่าจะได้รับความยุติธรรมเพราะ 1 ในบุคคลที่กระทำการดังกล่าว ได้อ้างว่าตนเองมีความสนิทสนมเป็นอย่างดีโดยเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องกัน กับ ผ.อ.เขตพื้นที่การศึกษาและรู้ฉายาของกันและกันดี ข้าพเจ้าจึงหวังว่าท่านจะช่วยข้าพเจ้าในการส่งเสียงของข้าราชการครูผู้น้อยที่ไม่มีเส้นสาย ให้เสียงนี้ดังไปถึงข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ด้วยการช่วยข้าพเจ้าแชร์ลงเฟสบุ๊คของท่าน “

ล่าสุด นางสาวเพชรรัตน์ ได้ให้ข้อมูลกับผู้สื่อข่าวเพิ่มเติมเมื่อช่วงค่ำที่ผ่านมาว่า ตอนนี้หลังจากที่ตกเป็นข่าว ได้มีข้าราชการผู้ใหญ่ท่านหนึ่งได้ติดตามมาทางโทรศัพท์ โดยบอกว่าจะช่วยวิ่งเต้นให้ย้ายไปอยู่ที่กรุงเทพให้ แต่ขอแลกด้วยการปิดปากไม่ให้พูดเรื่องนี้ต่อ ซึ่งตนเองก็ได้ปฏิเสธไป เนื่องจากต้องการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่ไปตรวจสอบเพื่อให้ข้อเท็จจริงได้เปิดเผยออกมา แม้จะต้องแลกด้วยหน้าที่การงานของตนเองก็ตาม

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเรื่องที่เกิดขึ้นแม้จะยังไม่มีการแจ้งความดำเนินคดี แต่ พล.ต.ต.ธวัชชัย พงษ์วิวัฒนชัย ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ ได้สั่งการให้ตำรวจ สภ.เชียงดาว ตรวจสอบข้อเท็จจริงและพร้อมให้การช่วยเหลือกับผู้ปกครองเด็กหรือครูเพชรรัตน์ตามกรอบกฏหมาย

คุณอาจสนใจ