ต่างประเทศ

จับตาตลาดทั่วโลกเจอแรงสั่นสะเทือนหนัก หลังสหรัฐฯสั่งปิดธนาคาร 'สตาร์ทอัพ' รายใหญ่

โดย nattachat_c

13 มี.ค. 2566

405 views

ตลาดหุ้นทั่วโลกเตรียมเจอแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ในสัปดาห์นี้ ภายหลังจากที่สหรัฐฯได้สั่งปิดธนาคาร 'ซิลิคอน วัลเลย์' (เอสวีบี) ไปเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา เนื่องจากธนาคารเผชิญกับปัญหาสภาพคล่องอย่างรุนแรง


ทั้งนี้ เอสวีบีเป็นธนาคารที่เน้นให้บริการเงินกู้ให้แก่บริษัทสตาร์ทอัพเป็นหลัก ได้เผชิญปัญหาสภาพคล่องรุนแรง จนลูกค้าแห่ถอนเงิน นับเป็นการล่มสลายของสถาบันการเงินใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ ตั้งแต่วิกฤติการเงินโลกปี 2551


โดยสถาบันรับประกันเงินฝากของแคลิฟอร์เนีย (เอสดีไอซี) ได้เข้าดูแลสินทรัพย์ของเอสวีบี ทันที โดยจะทำการขายสินทรัพย์ของธนาคาร เพื่อจ่ายเงินคืนให้แก่ผู้ฝากเงิน และบรรดาเจ้าหนี้ธนาคาร


สัญญาณการล่มสลายของเอสวีบี  เกิดขึ้นหลังจากทางธนาคารได้ประกาศแผนขายหุ้นแก่นักลงทุน วงเงิน 2.25 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในการระดมทุนเพื่อเสริมสภาพคล่อง เนื่องจากทางธนาคารขาดทุนถึง 1.8 พันล้านดอลลาร์ หลังจากที่ธนาคารได้ขายพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯที่ถือครองออกไป เนื่องจากมูลค่าในพอร์ตลดลงอย่างมาก อันเป็นผลกระทบรุนแรงจากการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯที่รุนแรงและต่อเนื่อง


นอกจากนี้ เอสวีบียังประสบปัญหากระแสเงินสดหมุนเวียน จากการที่ธุรกิจสตาร์ตอัพพากันถอนเงินฝากจากธนาคารอย่างรวดเร็วด้วย ซึ่งข่าวดังกล่าวส่งผลให้หุ้นของธนาคารร่วงลงกว่า 60% และลดลงหลังปิดตลาดอีก 20% ในวันพฤหัสบดี และในเช้าวันศุกร์ หุ้นของเอสวีบีก็ถูกระงับการซื้อขาย


ทั้งนี้ เอสวีบี ถือเป็นสถาบันการเงินหลัก ที่ปล่อยเงินกู้ให้แก่ธุรกิจสตาร์ทอัพมาตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1980 และกลายมาเป็นสถาบันการเงินใหญ่อันดับที่ 16 ของสหรัฐฯ โดยข้อมูลในช่วงสิ้นปี 2565 พบว่า ธนาคารมีมูลค่าสินทรัพย์รวมทั้งสิ้น 209,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในจำนวนนี้แบ่งเป็นเงินฝาก 175,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ


การสั่งปิดธนาคารแห่งนี้ ไม่เพียงถือเป็นการล่มสลายของสถาบันการเงินใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ นับตั้งแต่กรณีธนาคาร 'วอชิงตัน มูชวล' (Washington Mutual) ล้มเมื่อปี 2551 แต่ยังถือเป็นธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อยที่ใหญ่อันดับ 2 ของสหรัฐฯ ที่ต้องปิดตัวลงอีกด้วย


สเตฟานี พอมบอย นักเศรษศาสตร์ชาวสหรัฐฯ ได้ให้ความเห็นว่า การปิดเอสวีบีในครั้งนี้ เป็นการส่งสัญญาณถึงการล่มสลายของธนาคาร  และคริปโตเคอร์เรนซี ว่า อาจเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นของวิกฤตเลวร้ายอีกครั้ง และระบุว่า ผลจากการขึ้นอัตราเอกเบี้ยของธนาคารกลาสหรัฐฯในช่วงที่เศรษฐกิจกำลังโซเซ ย่อมจะทำให้เกิดผลกระทบรุนแรงตามมาเช่นนี้


ขณะที่ บิล แอคแมน มหาเศรษฐีผู้บริหารกองทุนเฮดจ์ฟันด์ เตือนว่า การล่มสลายของเอสวีบี อาจโหมกระพือปัญหาเป็นทอดๆ ไปยังสถาบันการเงินอื่นๆ ที่มีปัญหา ก่อปฏิกิริยาลูกโซ่เหมือนกับปี 2008 ในขณะที่โดมิโนล้มลงอย่างต่อเนื่อง


ทั้งนี้ เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ของสหรัฐฯปิดตลาด ก็ร่วงไปแล้ว 345.22 จุด หรือ -1.07% คาดว่าในสัปดาห์นี้ ตลาดหุ้นทั่วโลกจะพบกับแรงสั่นสะเทือนจากการสั่งปิดเอสวีบีอย่างรุนแรง



คุณอาจสนใจ

Related News