บันเทิง

ผู้กำกับชื่อดัง ‘โขม ก้องเกียรติ’ เปิดใจดรามาหนัง “ขุนพันธ์3” โดนลดโรงฉาย เผยรู้สึกแพ้ทั้งที่ยังไม่ได้สู้

โดย chutikan_o

8 มี.ค. 2566

18.7K views

ผู้กำกับชื่อดัง ‘โขม ก้องเกียรติ’ เปิดใจ ลั่นไม่ได้มีปัญหากับคนสร้างหนัง “ทิดน้อย” แต่รู้สึกแพ้ทั้งที่ยังไม่ได้สู้ หลังหนังเข้าฉายเพียง 3 วันแล้วถูกลดโรงฉาย



จากประเด็นที่โรงหนังเมเจอร์ ได้จัดโปรโมชันลดราคาค่าตั๋ว และเพิ่มรอบหนังเรื่อง “ทิดน้อย” ที่เข้าฉายตั้งแต่วันที่ 25 มกราคม 2566 และลดโรงฉายหนังเรื่อง “ขุนพันธ์ 3” หลังจากที่เข้าฉายได้ 3 วัน (เข้าฉายวันที่ 1 มีนาคม 2566) จนกลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นมา



‘โขม ก้องเกียรติ’ ผู้กำกับหนัง “ขุนพันธ์3” ได้ออกมาโพสต์ตัดพ้อกับเรื่องราวดังกล่าว ระบุข้อความว่า “รู้สึกเป็นเกียรติไหมครับ รู้สึกชนะหรือเปล่า ภูมิใจใช่ไหม เล่าให้ญาติหรือคนที่รักฟังแล้วรู้สึกดีจริงไหม เกมนี้มันห่วยและเสร่อมาก ในฐานะคนทำหนัง ผมเสียใจและอายแทนพวกคุณจริงๆ เราเดินลงจากเวทีคนละความรู้สึกแน่ๆ ขอยกวงการนี้ให้พวกคุณไปเลยครับ เดินหน้าก็ยากจะทำให้ถอยหลังทำไม อย่าอ้างเกมธุรกิจ #RIPหนังไทย”



จากนั้นก็เกิดดรามาตามมาอีกมากมาย ทั้งมีคนโยงว่า ที่ผู้กำกับชื่อดังออกมาโพสต์แบบนี้ เหมือนไปหาเรื่องคนทำหนัง “ทิดน้อย” ซึ่งก็คือ ‘เท่งเถิดเทิง’ หรือเปล่า บ้างก็คอมเมนต์ว่า “หนังห่วยก็ต้องยอมรับโดนลดโรงฉายเป็นเรื่องธรรมดา”



ล่าสุดผู้สื่อข่าวของเราได้ขอสัมภาษณ์ผู้กำกับชื่อดัง ‘โขม ก้องเกียรติ’ ถึงประเด็นดังกล่าว เจ้าตัวกล่าวว่า การที่ตัดสินใจโพสต์ ไม่ได้ต้องการทะเลาะกับทีมหนังเรื่องทิดน้อยตามที่หลายคนโยง แต่โพสต์ในฐานะของคนทำหนัง ที่รักวงการหนังไทย  ที่โพสต์ไปยอมรับว่า มีอารมณ์น้อยใจบ้าง แต่เชื่อว่าหน้าที่ของตัวเองในการทำหนังจบลงตั้งแต่ผลิตหนังเสร็จ แล้วส่งชิ้นงานให้กับค่ายหนังแล้ว



แต่ที่ออกมาโพสต์ เพราะรู้สึกว่าหนังยังไม่ทันได้ทำงาน เพิ่งจะเข้าฉายไปได้ 3 วัน ก็ถูกลดโรงฉาย ทั้งๆ ที่กระแสหนังก็กำลังมา หนังเข้าฉายวันแรก วันพุธที่ 1 มีนาคม แต่กลับถูกโรงหนังที่เป็นข่าว ลดโรงฉายเหลือเพียง 2 โรงต่อวัน ในวันเสาร์ที่ 4 มีนาคม ซึ่งส่วนตัวมองว่า ถ้าใครโดนแบบนี้ก็รู้สึกไม่ดีเป็นธรรมดา  เพราะหนังยังไม่ได้ทำงานของตัวเองเลย เปรียบเสมือนนักกีฬาที่ฟิตซ้อมมาอย่างดี พอถึงเวลายังไม่ทันได้ขึ้นต่อสู้อย่างสมเกียรติ ก็ถูกตัดเหลือแขนข้างเดียว ขาข้างเดียวซะแล้ว รวมไปถึงประเด็นที่ทีคนเข้ามาคอมเมนต์ว่า หนังห่วงโรงเลยลดจำนวนฉาย อันนี้สุดแล้วแต่คนจะคิด เพราะความชื่นชอบแนวหนังของแต่ละคนไม่เหมือนกัน แต่ก็ยืนยันว่า อยากให้หนังมีเวลาทำงาน ทำหน้าที่ของมันในโรงภาพยนตร์ให้นานกว่านี้



โขม ก้องเกียรติ เปิดใจต่อว่า ตลอดชีวิตทำหนังไทยมามากกว่า 20 เรื่อง ไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน ส่วนการวิจารณ์เรื่องหนังนั้นเป็นเรื่องปกติ ที่จะมีทั้งคนที่ชื่นชอบและไม่ชอบผลงาน ชินแล้ว แต่กรณีที่แพ้ตั้งแต่ยังไม่ได้สู้อย่างสมศักดิ์ศรี ไม่เคยเจอมาก่อน ยืนยันว่าไม่ได้จะทะเลาะกับคนในวงการหนังไทยด้วยกัน เข้าใจว่ามันเป็นเรื่องของธุรกิจ เรื่องของการตลาด แต่อยากให้นึกถึงใจเขาใจเรา ตัวเองไม่ได้ติดใจเรื่องที่หนัง “ทิดน้อย” ลดราคาค่าตั๋ว หรือเพิ่มโรงฉาย แต่งงว่าทำไมต้องลดโรงตัดโอกาสของหนังเรื่องอื่นๆ ทั้งๆ ที่กำลังจะไปได้ด้วยดี



ทั้งนี้ในฐานะผู้กำกับหนัง คงทำอะไรไปได้ไม่มากกว่านี้ คงต้องยกให้เป็นหน้าที่ของผู้ใหญ่ในวงการภาพยนตร์ไทยปรึกษาหารือกัน เพื่ออนาคตของวงการหนังไทย หรือเพื่อคนทำหนังในเจเนอเรชั่นต่อๆ ไป จะได้มีกำลังใจ



ขณะที่ ‘สมาคมผู้กำกับภาพยนตร์ไทย’ หลังจากทราบข่าวก็ได้ส่งจดหมายเปิดผนึก เรื่อง การจัดโรงและรอบฉายภาพยนตร์ไทยที่ไม่เป็นธรรม โดยระบุว่า ปัญหาการจัดโรงและรอบฉายที่ไม่เป็นธรรม ตัดโอกาสของภาพยนตร์ไทย เป็นปัญหาเรื้อรังที่เกิดขึ้นเรื่อยมา และเป็นที่รับรู้กันอย่างกว้างขวางในหมู่คนทำงานในวงการภาพยนตร์ไทย จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ผู้สร้างจำนวนมาก ไม่กล้าลงทุนในภาพยนตร์คุณภาพที่มีเนื้อหาหลากหลาย จนเป็นเหตุให้ผู้ชมจำนวนมาก รู้สึกเสื่อมศรัทธากับภาพยนตร์ไทย เพราะมีเนื้อหาที่ซ้ำซาก ไร้การพัฒนา



ทางสมาคมผู้กำกับภาพยนตร์ไทยในฐานะคนทำหนัง ขอแสดงจุดยืนในการปกป้องผู้กำกับภาพยนตร์และคนทำงาน ที่ควรได้รับโอกาสในการเผยแพร่ผลงานอย่างเป็นธรรม ดังนี้



1. ขอให้ ‘สมาพันธ์สมาคมภาพยนตร์แห่งชาติ’ เร่งแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยเข้ามาเป็นตัวกลางในการเจรจาต่อรอง หรือจัดสรรรอบฉายของภาพยนตร์ไทยให้เกิดความเป็นธรรม และเป็นไปเพื่อนำเสนอภาพยนตร์ไทยคุณภาพออกสู่สายตาผู้ชม สร้างความหลากหลายในการชมภาพยนตร์ เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ผู้ชม และส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาวงการภาพยนตร์ไทยในระยะยาว



2. ขอให้สื่อมวลชนนำเสนอประเด็นปัญหานี้ ให้ผู้ชมได้รับรู้และเข้าใจถึงปัญหาในวงการภาพยนตร์ไทย อันจะนำไปสู่การสนับสนุนให้เกิดการแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด ‘สมาคมผู้กำกับภาพยนตร์ไทย’ ขอเรียกร้องให้หนังไทยทุกเรื่องมีพื้นที่ฉายอย่างสมศักดิ์ศรี และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า จะเกิดการแก้ไขปัญหาเพื่อสร้างความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่ายในวิกฤตการณ์ครั้งนี้

คุณอาจสนใจ