สังคม

สาวถูกรถชนขาขาดสุดช้ำ ถูกแม่หอบเงินเยียวยา 4 แสนบาทหนีหาย วอนขอคืนเป็นค่าเรียน-รักษา

โดย nut_p

21 ม.ค. 2566

2.5K views

เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2565 ที่ อ.เชียงขวัญ จ.ร้อยเอ็ด ผู้เสียหายคือ น.ส. ณฤทัย ผาพญาเรือง อายุ 15 ปี เข้าร้องขอความช่วยเหลือกับผู้สื่อข่าว พร้อมเล่าให้ฟังว่า ช่วงวันที่ 28 พฤษภาคม 2565 ขณะขับรถจักรยานยนต์ไปเติมน้ำมัน และกำลังกลับเข้าบ้าน จังหวะนั้น มีรถยนต์เก๋งสีดำขับปาดหน้า ทำให้รถจักรยายนต์ของเธอเสียหลักถูกเฉี่ยวชน จนกระเด็นเข้าไปอยู่อีกช่องจราจร ทำให้รถยนต์เก๋งคันสีขาวที่วิ่งมาช่องทางเดินรถนั้นพุ่งชนเพราะเบรกไม่ทัน ถูกรถยนต์เก๋งเหยียบเข้าบริเวณขาข้างซ้ายสะโพกซ้ายแตก ขาข้างขวาหัก และปอดฉีก 2 ข้าง เมื่อไปถึงโรงพยาบาล จึงต้องตัดขาข้างซ้ายไป และนอนพักรักษาในโรงพยาบาล 1 เดือน โดยมีค่ารักษาพยาบาลจำนวน 1 แสน 8 หมื่นบาท ซึ่งในขณะนั้นแม่ของ น.ส. ณฤทัย ที่ทำงานเป็นพนักงานกวาดขยะ เขตสายไหม กรุงเทพฯ ได้ทราบข่าวจากป้าซึ่งเป็นผู้ดูแลเด็กสาว จึงได้เดินทางกลับมาที่ จ.ร้อยเอ็ด และได้ใช้สิทธิเบิกจ่ายให้



จากนั้นวันที่ศาลพิพากษาตัดสินคดีความ ได้ให้คนขับรถยนต์สีดำ จ่ายค่าเยียวยารักษาเป็นจำนวน 5 แสนบาท และ น.ส. ณฤทัย ได้รับเงินประกัน พ.ร.บ. จากรถคันสีดำอีก จำนวน 224,000 บาท โดยอัยการดูสำนวนจากการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทำให้ไม่มีการส่งฟ้องคดีกับทางรถเก๋งคันสีขาว ด้วยเหตุเพราะเป็นเหตุสุดวิสัย



ซึ่งในวันนัดรับเงินเยียวยารักษาให้กับ น.ส. ณฤทัย เป็นจำนวน 5 แสนบาท ได้มีการจ่ายเงินและนับที่หน้าบัลลังค์ของศาล ซึ่งเงินจำนวนนี้แม่ของเธอเป็นผู้ถือไว้ 5 แสนบาท จากนั้น น.ส. ณฤทัย ได้ขอเงินค่าเยียวจากแม่มาเก็บไว้เป็นทุนเรียนหนังสือและดูแลรักษาตัวเอง แต่ผู้เป็นแม่กลับมอบเงินให้เพียง 1 แสนบาท เท่านั้น และบอกว่าจะนำเงินจำนวน 4 แสนบาทไปไว้เพื่อจะจ้างทนายฟ้องร้องทางแพ่งกับรถเก๋งคันสีดำให้กับ น.ส. ณฤทัย โดยในระหว่างพูดคุยกันที่ศาลได้มีปากเสียงกัน เนื่องจาก น.ส. ณฤทัย ไม่ยอมเพราะ ผู้พิพากษาได้สั่งให้เงินจำนวนนี้เป็นเงินเยียวยารักษาตนเอง และเมื่อสมัยที่ น.ส. ณฤทัย ยังเล็ก ผู้เป็นแม่เคยนำ น.ส. ณฤทัย ไปเลี้ยงที่ กรุงเทพฯ แต่ได้ทำร้ายทุบตี จนต้องกลับมาอยู่กับพ่อและเรียนหนังสือที่ จ.ร้อยเอ็ด จากนั้นแม่ของ น.ส. ณฤทัย ได้เดินทางลงมาที่ จ.ร้อยเอ็ด เพื่อมาตามกลับ โดยได้ไปที่โรงเรียนและได้มีการฉุดกระชากให้กลับไปกับผู้เป็นแม่ เหตุการณ์บานปลายจนกระทั่งมีการขึ้นศาล และแย่งสิทธิ์เลี้ยงดู โดยมีการพิพากษาให้ผู้เป็นพ่อมีสิทธิ์เลี้ยงดู น.ส. ณฤทัย โดยชอบธรรม จนผู้เป็นแม่ต้องเดินทางกลับกรุงเทพฯไป



จากเหตุการณ์ทะเลาะเรื่องแบ่งเงินในศาล ผู้เป็นป้ากลัวเรื่องจะบานปลาย จึงได้บอกผู้เป็นแม่และ น.ส. ณฤทัย ให้กลับไปคุยเรื่องการแบ่งเงินที่บ้าน ผู้เป็นแม่จึงรับปากว่าจะไปคุยกันที่บ้านของป้า เมื่อ น.ส. ณฤทัย และป้ากลับไปถึงบ้าน ผู้เป็นแม่ได้เดินทางมาที่บ้านป้า เพื่อพูดคุยเรื่องการแบ่งเงินเยียวยา และได้บอกว่านำเงินจำนวน 4 แสนบาทไปฝากเข้าธนาคารแล้ว



จากนั้นผู้เป็นแม่ได้นำ น.ส. ณฤทัย ไปรับเงินประกันของโรงเรียนที่น้องศึกษาอยู่ ซึ่งจ่ายเป็นเช็คเป็นจำนวน 36,000 บาท และได้เอาเงินของ น.ส. ณฤทัย ไป โดยสัญญาว่าจะโอนเงินกลับมาหลังจากเอาเช็คไปขึ้นเงินแล้ว แต่ผ่านไปเป็นเดือนก็ยังไม่มีวี่แววโอนเงินกลับมา น.ส. ณฤทัย ได้โทรและไปหาผู้เป็นแม่ จนเกิดทะเลาะกัน ผู้เป็นแม่จึงได้โอนเงินจำนวน 36,000 บาทคืนมา



หลังจากนั้น น.ส. ณฤทัย ได้มีการโทรศัพท์พร้อมทั้งแชตข้อความทางเฟซบุ๊กไปหาผู้เป็นแม่ เพื่อจะทวงสัญญาที่บอกว่า จะนำเงิน 4 แสนบาทไปฟ้องร้องทางคดีแพ่งกับรถเก๋งคันสีดำ แต่ทางผู้เป็นแม่กลับบ่ายเบี่ยงบอกจะไม่นำเงินไปฟ้องแพ่งคู่กรณี ไม่คืนเงินให้กับ น.ส. ณฤทัย และได้นำเงินไปใช้จ่ายซื้อที่ดินหมดแล้ว ถ้าจะฟ้องแพ่งรถคันสีดำจะขอแบ่งเงินที่ได้จากประกัน พ.ร.บ. ของรถคันสีดำ จำนวน 224,000 บาทคนละครึ่ง จึงจะดำเนินการฟ้องร้องให้ แต่ทาง น.ส. ณฤทัย ไม่ยอม ผู้เป็นแม่จึงได้บอกให้ น.ส. ณฤทัย ไปบอกทางผู้เป็นพ่อไปดำเนินการฟ้องร้องแทน ซึ่งทางผู้เป็นพ่อไม่มีเงินที่จะจ้างทนายจึงได้ยกเลิกการฟ้องร้องคดีทางแพ่งกับรถเก๋งคันสีดำไป



น.ส. ณฤทัย บอกว่าอย่างน้อยถึงจะไม่คืนเงิน แต่ น.ส. ณฤทัย อยากที่จะเรียนหนังสือต่อเพราะกำลังจะขึ้น ม.4 ขอให้ น.ส. ณฤทัย ไปอยู่ที่กรุงเทพฯและเลี้ยงดูส่งเรียนหนังสือได้หรือไม่ ซึ่งผู้เป็นป้าเองก็ไม่ได้มีรายได้มากอะไร ไม่สามารถที่จะดูแลน้องได้อย่างเต็มที่ โดยทางผู้เป็นแม่ก็ตอบกลับมาว่า ไม่เอา ไม่ต้องมา ให้พ่อเป็นคนส่งเรียน โดย ณ ปัจจุบันนี้ น.ส. ณฤทัย ไม่สามารถโทรหรือติดต่อหาผู้เป็นแม่ได้ และยังไม่ได้รับเงิน 4 แสนบาทคืนจากผู้เป็นแม่อีกเลย



น.ส. ณฤทัย อยากขอวอนขอแม่ให้นำเงินเยียวยาที่รับไปกลับมาคืน เพราะเธออยากจะเก็บเงินไว้รักษาตัวเองและเป็นค่าเล่าเรียนในอนาคต อยากวอนสังคมช่วยเป็นกระบอกเสียงให้น้องด้วย เพราะทุกวันนี้น้องต้องใส่ขาเทียมเพื่อไปโรงเรียน วันไหนปวดแผลมากก็ไปเรียนไม่ได้ ป้าที่เลี้ยงดูบอกว่า ขาเทียมของน้องก็เสื่อมตามสภาพและต้องเปลี่ยนขาเทียมทุกปี

คุณอาจสนใจ