อาชญากรรม

เปิดคลิป 'เสี่ยเบนท์ลีย์' คุยมือถือสุดชิลในโรงพัก ฝั่งปาเจโร่-ดับเพลิง เผยทุกวันนี้ยังไม่ได้รับคำขอโทษ

โดย nattachat_c

10 ม.ค. 2566

31 views

ตำรวจเรียกเรียกไกล่เกลี่ย เคสเสี่ยซิ่งเบนท์ลีย์หรู ชนปาเจโร่บนทางด่วน – คนขับไม่มา ส่งทนายความมาแทน ขณะที่ทนายความหนีสื่อ บอกไม่ใช่ทนายของคนขับรถหรู ฝั่งผู้เสียหายทั้งปาเจโร่ และดับเพลิง เผยคนขับไม่เคยเอ่ยคำขอโทษจนถึงทุกวันนี้ ลั่นยังติดใจประเด็นเรื่องเป่าแอลกอฮอล์  ด้านแม่เด็กชายวัย 4 ขวบ บอกเป็นห่วงสภาพจิตใจลูก แต่โชคดีตอนเกิดเหตุลูกหลับ แต่ถามตลอด “ทำไมเขาถึงมาชนเรา”

ผบ.ตร.สั่งเร่งผลตรวจเลือดคนขับเบนท์ลีย์ ให้ผลออกวันนี้ ขณะที่โฆษก บช.น. เผย คนขับเนท์ลีย์ ยอมให้ตรวจเลือด แต่ไม่เป่าแอลกอฮอล์ เพราะเจ็บหน้าอก ไม่มีแรงเป่า


จากกรณี กลางดึกคืนวันที่ 7 ม.ค. เวลาประมาณ 00.30 น. ต่อเนื่องวันที่ 8 ม.ค. ที่ผ่านมา เกิดเหตุรถยนต์หรู เบนท์ลีย์ สีเทา ขับมาด้วยความเร็วสูง แซงซ้าย แล้วเบี่ยงขวา ก่อนจะพุ่งเข้าชนท้ายปาเจโร สีดำ ที่วิ่งอยู่เลนกลาง มีผู้โดยสารมากันทั้งครอบครัว รวม 6 คน โดยมีเด็กชายอายุ 4 ขวบ นั่งมาด้วย จนปาเจโรเสียหลักหมุนพุ่งชนขอบทางติดช่องทางขวาสุด ซ้ำมีรถดับเพลิงอาสาสมัครบรรเทาสาธารณภัยมัสยิดฮารูณ 2 ราย ที่กำลังมุ่งหน้าไปช่วยเหลือผู้ติดค้างเหตุเพลิงไหม้เบรกกะทันหันจนพุ่งชนซ้ำ ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บหลายราย


รถยนต์คู่กรณีได้รับความเสียหาย คนขับคล้ายเมาสุรา เหตุเกิดบนทางพิเศษเฉลิมมหานคร จากถนนสุขสวัสดิ์มาประมาณ 9-10 กม. มุ่งหน้าดินแดง โดยมีรายงานว่าคนขับคือ นายสุทัศน์ สิวาภิรมย์รัตน์ ทำธุรกิจเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ซื้อขายที่ดิน ทำตลาดสด และขายวัสดุก่อสร้าง เคยเป็นข่าวว่าเป็นนายทุนให้กับพรรคการเมืองใหญ่พรรคหนึ่ง 

ขณะเดียวกันทีมข่าว ได้ภาพของคนขับรถหรูในวันเกิดเหตุเพิ่มเติม ซึ่งภายหลังเกิดเหตุคนขับรถหรู เดินทางไปยัง สน.ทางด่วน 1 จากภาพจะเห็นว่าคนขับกำลังเคี้ยวหมากฝรั่งอยู่ นักข่าวพยายามสอบถามว่า เป่าแอลกอฮอล์หรือไม่ แต่คนขับรถหรูบอกไม่ตอบ บอกเพียงว่าขอคุยโทรศัพท์กับเพื่อนก่อน


ส่วนความคืบหน้าล่าสุด วานนี้ (9 ม.ค. 66) พนักงานสอบสวน สน.ทางด่วน 1 นัดหมายทุกฝ่ายมาเจราจรากันทั้ง ฝ่ายปาเจโร่ ฝ่ายรถดับเพลิง และฝ่ายคนขับรถหรู ซึ่งได้ส่งทนายความมาเจรจา


ภายหลังการเจรจาเสร็จสิ้นทีมข่าวได้พูดคุยกับฝั่งรถดับเพลิงโดยนายอภิชาติ อุดม ประธาน อปพร.เขตบางรัก ฝั่งคนขับรถดับเพลิง เผยถึงผลการเจรจากับทนายความของฝั่งรถหรูว่า ฝั่งคนขับรถหรูยืนยันจะรับผิดชอบทุกอย่าง ทั้งเกี่ยวกับรถกู้ภัย รวมถึงค่ารักษาพยาบาลในส่วนของคนที่บาดเจ็บ ในส่วนของรถดับเพลิงเบื้องต้น ยืนยันว่าจะซื้อรถให้ใหม่ เพราะรถดับเพลิงนี้ใช้เพื่อประโยชน์ของประชาชน ต้องเป็นรถที่มีประสิทธิภาพ

------------

ด้านนายอิทธิพล ประสงค์ทรัพย์ คนขับรถดับเพลิงในวันเกิดเหตุ กล่าวถึงอาการบาดเจ็บของตัวเองว่า ตอนนี้ยังมีอาการปวดตามคอและไหล่อยู่


โดยนายอิทธิพล ยืนยันว่า ตั้งแต่เกิดเหตุจนถึงทุกวันนี้ ยังไม่ได้รับคำขอโทษจากคนขับรถหรู  ยังไม่ได้ยินคำขอโทษหรือว่าอะไรเลย แม้แต่การสอบถามเรื่องของอาการบาดเจ็บก็ยังไม่มี


แม้แต่ตอนรถคว่ำ คนขับรถหรูเห็นว่ามีคนลงมาจากรถตั้งหลายคน แต่การเดินไปดูเลย ซึ่งตอนนั้นก็ เขาก็ไม่ได้เป็นอะไรเลยด้วยซ้ำ แต่ยืนยันว่าอาการของอีกฝ่ายมองว่าอยู่ในอาการคล้ายๆกับคนเมา


ทั้งนี้ ตนมองว่า หากในวันนั้นเขาลงมาพูด มาสอบถาม มาแสดงความรับผิดชอบ เป็นอะไรหรือไม่ กับสิ่งที่เกิด มองว่าเรื่องคงไม่บานปลายขนาดนี้


ส่วนประเด็นที่ยังติดใจอยู่ หลักๆยังคงเป็นเรื่องของการตรวจวัดแอลกอฮอล์ ทำไม่ไม่เป่าตั้งตอนเกิดเหตุ ขณะเดียวกันนี้ ตนอยากให้ฝั่งรถหรูมาพูดให้กระจ่างไม่ว่าจะเป็นต่อหน้าสื่อมวลชน หรือเป็นลายลักษณ์อักษรเพื่อให้เกิดความเป็นรูปธรรม ทั้งส่วนของการเยียวยาและทุกๆ เรื่อง

------------

ขณะเดียวกัน ทีมข่าวได้คุยกับนางสาวธนานิษ จิตเสรีพงศ์ หนึ่งในคนที่อยู่บนรถ น้องสาวภรรยาของคนขับรถปาเจโร่ และเป็นแม่ของน้องกีตาร์วัย 4 ขวบ ที่อยู่บนรถวันเกิดเหตุด้วย


เล่าว่า วันเกิดเหตุอยู่บนรถ 6 คน มีเด็กด้วย ตอนนั้นไม่คาดคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น ขับมาตามปกติไม่ได้มาด้วยความเร็ว โดยมีพี่เขยคือนายนายศราวุธ รีรักษ์ เป็นคนขับ


จากนั้น ก็รู้สึกว่าโดนกระแทกจากด้านหลังอย่างแรง เสียงดังตู้ม แต่ก็ยังไม่รู้ว่าอะไรมาชน มารู้ตัวอีกทีคือคว่ำไปแล้ว พอเรารู้สึกตัว ก็กระชากที่รัดเข็มขัดออก แล้วพยายามบอกคนด้านหน้าว่า ให้อยู่นิ่งๆ จากนั้น เราเห็นว่าด้านหลังกระจกแตกแล้ว ตนจึงมุดออกมา และพยายามที่จะช่วยคนอื่นๆ แต่ประตูเปิดไม่ได้ เพราะทุกคนอยู่ด้านหน้า รวมทั้งลูกชายวัย 4 ขวบของเราด้วย


อาการของลูกชาย มีบาดแผลตามร่างกาย ปวดศีรษะ คาดว่าเกิดจากการกระแทก จากนี้ต้องพาไปตรวจโดยละเอียดอีกครั้ง หลังเกิดเหตุตอนแรกลูกชายไม่รู้ว่ารถชน เพราะน้องยังหลับอยู่ แต่หลังจากนั้นพอน้องตื่นก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ลูกไม่ได้ถามว่าเกิดอะไรขึ้น ถามเพียงแค่ว่า “ทำไมเขาถึงมาชนเรา”


สภาพจิตใจตอนนี้ลูกชายยังไมเป็นอะไรมาก เพราะเกิดเหตุก็หลับด้วย แต่พอเห็นข่าวเรื่องนี้เยอะๆ ลูกก็จะถามตลอดว่า “ทำไมเราถึงโดนชน ทำไมเขาถึงมาชนเรา” แต่ก็เลี่ยงที่จะไม่ตอบ เพราะไม่อยากให้รับรู้เรื่องราวแบบนี้ เพราะลูกยังเด็ก ไม่อยากให้กระทบสภาพจิตใจ


ส่วนอาการของตน มีอาการปวดตั้งแต่บริเวณคาง ร้าวลงไปจนถึงเอว เกิดจากการกระแทก ต้องใช้ตัวประคองหรือเข้าเฝือกที่คอ ขณะเดียวกันพ่อและแม่ของพี่เขย คืออาการสาหัส แต่ฝั่งคนขับรถหรูไม่ติดต่ออะไรมาเลย ไม่มีการแสดงคำขอโทษ หรือความรับผิดชอบใดๆ อย่างน้อยแม้ไม่ได้มาด้วยตัวเอง อาจจะให้ตัวแทนติดต่อมาก็ได้ รวมทั้งตนและลูกก็ไม่มีการถามไถ่ และเขาจะรู้ไหมว่ามีเด็กอยู่บนรถ เด็กจะเป็นยังไงบ้าง


ถ้าตอนนั้นลูกชายตนไม่หลับ สภาพจิตใจลูกอาจจะเกิดภาพจำ และได้รับผลกระทบทางจิตใจไปเลยก็ได้ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องนี้ เป็นเรื่องที่ตนติดใจเป็นอย่างมาก อีกส่วนคือติดใจว่าทำไมคู่กรณีถึงไม่ยินยอมเป่าแอลกอฮอล์ หรือออกมาพูดต่อหน้าสื่อมวลชน ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร

------------

ขณะเดียวกันที่ฝั่งปาเจโร่ นายพัฒจิตร วัฒนศิริชัยกุล ทนายความผู้เสียหายฝั่งรถปาเจโร่ กล่าวว่า ครั้งนี้เป็นการเจรจาค่าเสียหาย โดยคู่กรณีไม่มา และส่งทนายความมาแทน โดยมารับยอดค่าเสียหายเท่านั้น ซี่งตนได้มีการลงบันทึกประจำวันในการส่งมอบยอดค่าเสียหายแล้ว ต่อหน้าพนักงานสอบสวน คิดว่าคงไม่เป็นปัญหาต่อคดี


ส่วนจะจ่ายเท่าไหร่นั้น ค่อยคุยมาคุยกันอีกครั้ง ส่วนจะชดใช้ และเยียวยาส่วนไหนบ้างนั้น ยังไม่ชัดเจน แน่นอนว่าต้องมีค่าทรัพย์สินที่เสียหาย รวมถึงค่ารักษาพยาบาล


ทั้งนี้ นายพัฒจิตร เผยว่า ตอนนี้ลูกความของตนติดใจว่าจะได้รับการเยียวยามากน้อยเพียงใด และเรื่องปริมาณแอลกอฮอล์ของตัวผู้ก่อเหตุ  ส่วนการส่งตัวไปตรวจเลือดที่โรงพยาบาล เพื่อวัดปริมาณแอลกอฮอลล์ เชื่อว่าผลคงแม่นยำกว่าการเป่าที่เครื่องวัด

------------

ต่อมา ภายหลังไกล่เกลี่ยแล้วเสร็จ ทนายความของฝั่งรถหรูเดินออกมาจากโรงพัก ผู้สื่อข่าวพยายามสอบถามว่าการเจรจา ไกล่เกลี่ยลงตัวหรือไม่ ทนายความเสื้อเหลืองคนนี้ พยายามปฏิเสธว่าตนไม่ใช่ทนายความฝั่งรถหรู แต่ฝั่งผู้เสียหายทั้งฝั่งรถปาเจโร่และรถดับเพลิง ยืนยันว่าทนายความเสื้อเหลืองคนนี้ เป็นทนายความของฝั่งรถหรูที่มาเจรจา


เมื่อถามกับทนายความว่า สรุปแล้วคนขับเมาหรือไม่ ทนายความไม่ตอบแต่ส่ายหัวเล็กน้อย เมื่อถามอีกว่า ในฐานะทนายความ เรื่องเป่าแอลกอฮอล์ของคนขับรถหรูเป็นไปตามกฎหมายหรือไม่ ทนายความบอกว่า “ผมไม่ทราบรายละเอียด ต้องไปถามผู้เสียหาย”

------------

พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง โฆษกตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า สำหรับคดีนี้ ผบ.ตร. ได้สั่งการให้เร่งดำเนินการ ตรวจพิสูจน์ระดับแอลกอฮอล์ในเลือดของผู้ขับขี่รายนี้ ซึ่งคาดว่าผลการตรวจเลือดจะออกมาในวันนี้ (9 ม.ค. 66)


ส่วนกรณีที่ผู้เสียหาย ซึ่งเป็นเจ้าของรถปาเจโร่ ระบุว่ารู้สึกกังวลกับการที่คู่กรณี ไม่ยอมเป่าเครื่องวัดระดับแอลกอฮอล์ แต่ขอรับการตรวจเลือดแทน อาจเป็นช่องว่างให้เกิดการวิ่งเต้นเพื่อให้หลุดคดีเมาแล้วขับนั้น เรื่องนี้ โฆษก ตร.ระบุว่าในฐานะโฆษกตร. ยืนยันว่าทุกฝ่ายจะได้รับความเป็นธรรม จะไม่มีใครฝ่าฝืนกฎหมายได้ ทุกคนต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย หากการใช้กฎหมาย มีความเหลื่อมล้ำหรือยกเว้นกับบุคคลใดบุคคลหนึ่ง สังคมจะอยู่ร่วมกันลำบาก


ส่วนในกรณีนี้ ร้อยเวรเจ้าของคดี บอกว่าการปฏิเสธที่จะวัดระดับแอลกอฮอล์ ถือเป็นสิทธิส่วนบุคคลนั่น ก็จริง แต่หากสิทธินั้น ไปละเมิดกฎหรือสิทธิของผู้อื่น พนักงานสอบสวนจะต้องพิจารณา บังคับใช้กฎหมายเพื่อให้เกิดความยุติธรรมกับทุกฝ่าย

------------

ขณะเดียวกันวานนี้ (9 ม.ค. 66) พล.ต.ต.จิรสันต์ แก้วแสงเอก รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ในฐานะโฆษก กองบัญชาการตำรวจนครบาล แถลงข่าวถึงกรณีดังกล่าว ระบุว่า จากกรณีดังกล่าวมีผู้ได้รับบาดเจ็บทั้งสิ้น 8 ราย ขณะนี้เหลือยังพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลอีก 3 ราย


ขณะที่ในส่วนของการดำเนินการแจ้งข้อหากับทางผู้ขับขี่รถหรู ขณะนี้ทราบว่าพนักงานสอบสวนมีการแจ้งข้อหาขับขี่รถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บ และทรัพย์สินเสียหายไปแล้ว ตั้งแต่คืนวันเกิดเหตุ


ส่วนข้อหาเมาแล้วขับและความผิดเกี่ยวกับการใช้ความเร็วอยู่ระหว่างการรอผลการตรวจพิสูจน์จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องซึ่งในส่วนของผลการตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ในเส้นเลือดทราบว่าจะมีผลออกมาในวันนี้ (9 ม.ค. 66)


ส่วนประเด็นที่ผู้ขับขี่รถหรู ไม่ยินยอมเป่าวัดปริมาณแอลกอฮอล์ถือว่าทำได้เพราะผู้ขับขี่รถหรูยินดีให้การร่วมมือในการตรวจสอบ แต่ขอตรวจวัดโดยการเจาะเลือด พนักงานสอบสวน จึงไม่ได้มีการดำเนินการแจ้งข้อหาเมาแล้วขับในทันที


รวมถึงหากผู้ได้รับบาดเจ็บมีการระบุผลจากทางแพทย์ว่าได้รับบาดเจ็บสาหัส ก็จะดำเนินการแจ้งข้อหาเพิ่มเติมกับทางผู้ขับขี่รถยนต์อีกครั้ง ซึ่งถือเป็นขั้นตอนปกติที่พนักงานสอบสวนสามารถดำเนินการได้ ยืนยันว่าในประเด็นนี้สามารถทำได้ เพราะการตรวจวัดด้วยการเป่าอาจจะมีความคาดเคลื่อนในเรื่องของความแม่นยำของตัวเครื่อง


เมื่อถามถึงกรณีผู้ต้องหาปฏิเสธการใช้เครื่องมือวัดแอลกอฮอล์ พล.ต.ต.จิรสันต์ กล่าวว่า กรณีดังกล่าวผู้ขับขี่รถเบนท์ลีย์ ยินยอมให้ตรวจเลือดว่ามีแอลกอฮอล์หรือไม่ แต่กรณีการเป่านั้น คนขับรถได้รับบาดเจ็บบริเวณหน้าอก อาจจะทำให้แรงลมการเป่าไม่เพียงพอ ทำให้เครื่องวัดไม่เสถียร พนักงานสอบสวนจึงใช้วิธีการตรวจเลือด


อย่างไรก็ตาม กรณีนี้มีความเสียหายค่อนข้างมาก มีผู้ได้รับบาดเจ็บหลายราย การตรวจผลเลือดจึงเป็นส่วนที่ยืนยันได้ชัดเจน กรณีผู้ต้องหาอาจใช้ต่อสู้กรณีดังกล่าว จึงดำเนินการอย่างเคร่งครัด เพื่อให้เกิดความโปร่งใส


ขณะที่ ประเด็นเรื่องของระยะเวลาในการส่งตัวตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ในเส้นเลือด จากการตรวจสอบพบว่า พนักงานสอบสวนมีการส่งตัวผู้ขับขี่รถหรูไปตรวจสอบวัดปริมาณแอลกอฮอล์ในเส้นเลือด ในช่วงเวลา 01:30 น. โดยประมาณ หลังจากได้รับการส่งตัวจากพนักงานทางด่วน


ส่วนประเด็นที่มีการระบุว่า ผู้ขับขี่รถยนต์หรูพยายามออกจากจุดเกิดเหตุ ก่อนที่พนักงานสอบสวน หรือเจ้าหน้าที่ตำรวจจะเดินทางถึงจุดเกิดเหตุ ขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบ จะยืนยันได้ว่าโดยปกติแล้ว หากเกิดกรณีอุบัติเหตุเกิดขึ้น ผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดต้องอยู่รอเจ้าพนักงานตำรวจ ก่อนจะเคลื่อนย้ายออกจากจุดเกิดเหตุ


ในส่วนประเด็นเกี่ยวกับตัวรถยนต์หรูคันเกิดเหตุ ทราบว่ามีการตรวจสอบเบื้องต้น พบว่ามีการจดทะเบียนถูกต้องตามกฏหมาย ยังไม่มีรายงานเกี่ยวกับความผิดของตัวรถ แต่จะมีการกำชับให้ตรวจสอบในรายละเอียดเพิ่มเติมอีกครั้ง


ส่วนก่อนเกิดเหตุผู้ขับขี่รถยนต์หรูเดินทางมาจากจุดใด มาจากงานปาร์ตี้หรืองานสังสรรค์หรือไม่ ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ เนื่องจากเป็นรายละเอียดในสำนวนคดี และเป็นเรื่องส่วนตัวของผู้ขับขี่

-------------

คุณอาจสนใจ

Related News