สังคม

เจ้าของร้านเปิดกล้องยัน เด็กขโมยของหลายรอบ ทำเป็นขบวนการ เรียกค่าเสียหาย 1 แสน หวังให้หลาบจำ

โดย thichaphat_d

15 ธ.ค. 2565

1.5K views

พ่อร้องปวีณา ลูกชายวัย 13 ชั้น ม.1 ถูกจับได้ขโมย ชาเขียวและขนม จากร้านค้าในโรงเรียน พร้อมเพื่อนรวม 5 คน ถูกเรียกค่าเสียหาย 1 แสนบาท แลกไม่ถูกดำเนินคดี ต่อรองเหลือ 5 หมื่นก็ดูสูงเกินกว่าเหตุเพราะทำผิดครั้งแรก

เจ้าของร้านค้าเปิดวงจรปิดชี้ เด็กกลุ่มนี้ก่อเหตุลักของหลายครั้ง ทำเป็นขบวนการ มีคนดูต้นทาง บังกล้อง แอบยื่นของซุกใต้เสื้อกันหนาว ครั้งก่อนถูกจับได้เมื่อเดือนกันยายน ถูกปรับเท่าราคาสินค้า ส่งครูปกครอง แต่ยังกลับมาทำผิดซ้ำ เลยต้องเรียกค่าเสียหายหวังหลาบจำ ด้าน ผอ. รับ เด็ก 3 คนมีหลักฐานชัดว่าลักของ ต่อรองค่าปรับเหลือ 2 หมื่น 5 ส่วนอีก 2 อยู่ระหว่างสอบสวน แต่ 1 ในนั้นมีผู้ปกครองไปร้องปวีณา พยายามเรียกมาคุยแต่เขาไม่ขอเจรจาจนกลายเป็นข่าว


วานนี้ (14 ธ.ค. 65) นายดำ (นามสมมุติ) อายุ 38 ปี (พ่อ) เดินทางมาร้องทุกข์กับมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี แจ้งว่าตนเองทำงานรับจ้างอยู่ที่ จ.ชลบุรี ส่วน ด.ช.เชน (นามสมมุติ) (ลูกชาย) วัย 13 ปี อาศัยอยู่กับยาย เป็นนักเรียนชั้น ม.1 ใน จ.พะเยา โดยครูที่โรงเรียนโทรมาแจ้งคุณยายว่า เมื่อวันที่ 8 ธ.ค. ที่ผ่านมา หลานชายได้ร่วมกับเพื่อนรวม 5 คน ขโมยน้ำชาเขียว 4 ขวด และขนมทาโร่ 2-3 ห่อ จากร้านค้าในโรงเรียน


ครูได้บอกนักเรียนให้มาแจ้งผู้ปกครองไปพบครูในวันที่ 9 ธ.ค. 65 แต่ลูกตนกลัว จึงไม่กล้ามาบอกผู้ปกครอง ส่วนผู้ปกครองของเด็กอีก 4 คน ได้ไปพบครูตามนัด ทางโรงเรียนแจ้งว่า ร้านค้าต้องการเรียกร้องค่าเสียหายคนละ 1 แสนบาท เพื่อแลกกับการไม่ดำเนินคดีกับเด็ก ๆ โดยทางโรงเรียนได้ช่วยเจรจาให้ชดใช้เหลือคนละ 5 หมื่นบาท และนัดให้ผู้ปกครองไปชำระเงินในวันพุธที่ 14 ธ.ค. 65


โดยครูประจำชั้นยังได้ส่งเอกสารรายละเอียดบางอย่าง มาทางแชทไลน์กลุ่มผู้ปกครอง พิมพ์ข้อความแจ้งว่า “ฝากผู้ปกครองทุกท่านช่วยอ่านดูข้อมูลให้ละเอียด เหตุที่เกิดขึ้น เจ้าทุกข์ไม่ยอมความ และเจ้าทุกข์ติดต่อมาทางครูแสตมป์ (ครูประจำชั้น) ให้ฝากแจ้งในกลุ่ม อ่านกันหลายๆ รอบด้วย


เป็นคดีที่โรงเรียนไม่สามารถเข้าไปยุ่งได้ เพราะร้านค้าสวัสดิการเป็นของที่เขาประมูลมา เพราะฉะนั้น โรงเรียนไม่สามารถไปยุ่งเกี่ยวในกรณีนี้ได้ จะเป็นข้อตกลงกันระหว่างเจ้าทุกข์ (เจ้าของร้าน) และผู้กระทำความผิดฐานลักทรัพย์ (เด็กนักเรียน) ขอผู้ปกครองช่วยเตือนบุตรหลานในการใช้จ่ายเงิน และเน้นถึงความซื่อสัตย์ด้วย”


ครูประจำชั้น ยังได้ส่งข้อความผ่านแชทไลน์อีกว่า “เพราะถ้าไม่จ่ายค่าเสียหายตามที่เจ้าทุกข์เรียก เมื่อเด็กผ่านเลยคำว่าเด็กละเยาวชน เขาสามารถดำเนินการปรับไม่เกิน 60,000 บาท ภายใน 10 ปี และการไปถึงศาลจะมีค่าดำเนินการจ้างทนายความ


ถ้าเขาชนะคดี ผู้ปกครองก็ต้องจ่ายค่าชดเชยในการดำเนินการตามกฎหมายให้เจ้าทุกข์อีก อันนี้ขอผู้ปกครองพิจารณาหาทางแก้ไขอย่างประนีประนอม ครูช่วยได้เท่านี้จริงๆ ขอให้ท่านอบรมบุตรหลาน ไม่ให้กระทำความผิดแบบนี้เป็นรายต่อไป ” แล้วก็แท็กชื่อยายของเด็กว่า “ติดต่อผมด่วนครับ”


นายดำ กล่าวว่า ผู้ปกครองเด็กอีก 4 คน กลัวว่าลูกๆ จะถูกดำเนินคดี และมีประวัติเสียหาย จึงจะยอมจ่ายเงินตามนัด ส่วนลูกของตน เพิ่งจะทำผิดเป็นครั้งแรก ตนไม่มีเงินที่จะไปชดใช้ รวมทั้งเห็นว่าเรื่องดังกล่าวไม่เป็นธรรม มีการเรียกเงินที่เกินกว่าเหตุ จึงมาขอความช่วยเหลือมายังมูลนิธิปวีณาฯ ทั้งนี้ ยังไม่ได้คุยกับทางโรงเรียน ที่แรกตนจะเอาที่ดินไปขายเพื่อนำเงินไปชดใช้


ขโมยของแค่นี้ปรับ 20 หรือ 30 เท่า ก็ยังไม่เท่าเงินที่เขาเรียกมันเยอะไป ตนรู้ว่าลูกชายผิด สอบถามแล้ว ลูกชายยอมรับว่าไปกับเพื่อนจริงแต่ไม่ได้ขโมย ลูกชายเข้าไปซื้อขนมจ่ายเงินแล้วเดินออกมา พอเพื่อนเดินออกมาพบว่าขโมยชาเขียว 4 ขวด และขนมทาโร่ 2-3 ห่อ เอามาแบ่งให้กับลูกชายและกลุ่มเพื่อนที่เหลือ เจ้าของร้านจึงคิดว่าร่วมกันขโมยของ


“เด็กทำผิดไม่ตักเตือน หรือทำทัณฑ์บน นี่มาเรียกเงินเลย ยังไงตนเองก็ไม่มีเงินจ่าย ยายก็รักหลานมาก กลัวจะมีคดีติดตัว บอกจะเอาข้าวเปลือกไปขาย ช่วยออกเงินครึ่งหนึ่ง จากนี้อาจจะให้ลูกชายย้ายโรงเรียนหาที่เรียนใหม่ เพราะมีปัญหากับโรงเรียนแล้ว กลัวมีปัญหาตามมาภายหลัง


วานนี้ (14 ธ.ค. 65) ครูประจำชั้นโทรมาหาพ่อ แจ้งว่าผู้ปกครองเด็กอีก 4 คน ตกลงจะจ่ายเงิน เหลือลูกชายของตนยังไม่ได้จ่าย เจ้าของร้านจะไปแจ้งความดำเนินคดีกับเด็ก ทางโรงเรียนจะไม่สามารถไกล่เกลี่ยช่วยอะไรได้แล้ว”


ด.ช.เชน วัย 13 ปี เล่าว่า ตนกับเพื่อนรวม 2 คน เดินเข้าไปซื้อของในร้านค้า ตอนที่เข้าไป เพื่อนคนนี้บอกว่าจะขโมยน้ำชาเขียวกับขนม แต่ตนไม่ได้เป็นคนขโมย โดยเพื่อนได้ขโมยน้ำชาเขียว 4 ขวด ขนมทาโร่ 2-3 ห่อ ซึ่งเจ้าของร้านเห็น และจับได้เสียก่อน ยังไม่ทันเอาออกจากร้าน


ส่วนเพื่อนอีก 3 คน อยู่นอกร้าน เป็นคนสั่งให้มาขโมย จากนั้นครูให้พวกตนไปห้องปกครอง ครูบอกว่าตนเป็นคนยืนบังกล้องวงจรปิดให้เพื่อนเป็นคนขโมยน้ำชาเขียว พอรู้จำนวนเงินที่เจ้าของร้านเรียกรู้สึกตกใจ


ด้าน นางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี ได้ประสาน นายธีร์ ภวังคนันท์ รักษาราชการแทนรองเลขาธิการ กพฐ. ที่ได้มอบหมายให้นายนิสิต เนินเพิ่มพิสุทธิ์ ผู้อำนวยการศูนย์ความปลอดภัย สพฐ. เข้าร่วมประชุมแทนและผู้ปกครองเด็ก ที่มูลนิธิปวีณาฯ จ.ปทุมธานี เพื่อหามาตรการด้านช่วยเหลือเด็ก

--------------

วานนี้ (14 ธ.ค. 65) เวลา 13.30 น. ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ ไปยังโรงเรียนที่เกิดเหตุดังกล่าว โดยเจ้าของร้านค้า คือ น.ส.สเตฟานี่ หรือเสี่ยวผิง เผยว่า


เด็กกลุ่มดังกล่าว ได้เข้ามาขโมยของที่ร้านมาแล้วหลายครั้ง โดยทำกันเป็นขบวนการ มีคนดูต้นทาง บังกล้องวงจรปิด แอบยื่นของ และซุกไว้ใต้เสื้อกันหนาว โดยเด็กเหล่านี้รู้มุมกล้องวงจรปิดว่า มุมไหนเป็นจุดอับเป็นอย่างดี


ล่าสุด เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 9 ธันวาคม 65 ที่ผ่านมา เด็กกลุ่มนี้ได้เข้ามากระทำการถึง 2 ครั้ง คือครั้งแรกช่วงเวลา ประมาณ 8 โมงเช้า และ ครั้งที่ 2 เวลา ประมาณ 9 โมงเช้า ซึ่งทางพนักงานทางร้านได้จับตาสังเกตพฤติกรรมของเด็กกลุ่มนี้มาโดยตลอด


ก่อนหน้านี้ เมื่อเดือนกันยายน 65 ทางร้านก็เคยจับได้ว่าขโมยน้ำหวานและขนม จนต้องเรียกเก็บเงินเท่ากับสินค้าที่ขโมยไป พร้อมกับนำตัวเด็กๆ ไปส่งให้ทางฝ่ายกิจการ ห้องปกครองให้อบรมตักเตือน และหักคะแนนความประพฤติไปแล้ว แต่เด็กกลุ่มดังกล่าวยังกลับมากระทำผิดซ้ำอีก


แต่ละครั้งจะขโมยของที่มีราคาแพงมาก ทำให้ร้านค้าต้องเสียหายหลายบาท ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวทางร้านรับไม่ได้ อีกอย่างจะได้เป็นการป้อมปรามไม่ให้เด็กมีพฤติกรรมลักเล็กขโมยน้อย


ต่อไปในอนาคต เด็กๆ อาจจะต้องคดีอาชญากรรมที่มีความผิดร้ายแรงถึงขั้นติดคุกติดตาราง เด็กที่กระทำผิดในวันนี้ ควรได้รับรู้ถึงผลที่จะตามมา ว่าจะเกิดความเสียหายต่อตนเองและครอบครัวขนาดไหน ในการที่ตนกระทำผิดในครั้งนี้ และจะได้ปรับปรุงแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้เป็นคนดีในอนาคต

--------------

ด้าน นายจตุภูมิ แจ่มหม้อ ผอ.โรงเรียนเชียงคำวิทยาคม และ นายเดชฤทธิ์ รัตนขอดสกุล รอง ผอ.โรงเรียนเชียงคำวิทยาคม เผยว่า


เด็กกลุ่มนี้มีอยู่ด้วยกัน 5 คน ที่ทางร้านจับได้พร้อมหลักฐานมี 3 คน และอีก 2 ราย ที่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่นั้น อยู่ในกระบวนการสอบสวน แต่ก็ได้เรียกผู้ปกครองทั้งหมดเข้ามาไกล่เกลี่ย ในตอนเช้าวันนี้ (14 ธ.ค.65)


โดยเบื้องต้น ทางร้านเรียกค่าปรับรายละเงิน 1 แสน แต่เจรจาตกลงกันแล้วเหลือ 5 หมื่นบาท ซึ่งทางโรงเรียนและผู้ปกครองก็เจรจาต่อรองกันอีกครั้งจนเหลือ 25,000 บาท ซึ่งผู้ปกครองเด็กทั้ง 3 ราย ยินดีจ่ายให้โดยไม่ให้เป็นคดีความ ส่วนเด็กรายที่ 4-5 ที่ร่วมอยู่ในกลุ่ม ได้เข้ามาพูดคุยเจรจาเพียงคนเดียว


ซึ่งหลังจากทางโรงเรียนและร้านค้า ได้พูดคุยสอบถามแล้วเด็กรายที่ 4 นี้ ไม่มีความผิดหรือไม่มีส่วนร่วม จึงได้ให้เด็กกลับไปเรียนตามปกติ ส่วนผู้ปกครองเด็กรายที่ 5 ที่ไปร้องต่อมูลนิธิปวีณาฯ นั้น ไม่ได้เข้ามาพูดคุยหรือทำความเข้าใจเป็นทางร้าน ซึ่งทั้งนี้ยังอยู่ในกระบวนการสอบสวนเท่านั้น ยังไม่ได้มีการเรียกปรับเงินใดๆ ทั้งสิ้น ทางโรงเรียนได้พยายามติดต่อกับเด็กและผู้ปกครองให้เข้ามาพูดคุยกันแล้ว แต่ผู้ปกครองของเด็กก็ไม่ขอเจรจาใดๆ จึงเป็นที่มาของเรื่องนี้


ทั้งนี้ ทางโรงเรียนและทางร้านจะต้องปรับมาตรการดูแลทั้งกล้องวงจรปิด และพฤติกรรมของเด็กให้มากกว่านี้ ซึ่งถือว่าเคสนี้เป็นรายแรก เพื่อจะได้เป็นกรณีศึกษาแก้ไขปัญหาต่อไป

-------------

รับชมผ่านยูทูปได้ที่ : https://youtu.be/rYmN3bW4DNs

คุณอาจสนใจ

Related News