สรุปข่าว

เรื่องเล่าหน้าหนึ่ง 14 พ.ย.65 โพลภาคกลางหนุนอุ๊งอิ๊ง-ฟีฟ่าไม่ลดราคาลิขสิทธิ์บอลโลก-แก๊งช่างกลรุมซ้อมวัยรุ่น

โดย thichaphat_d

14 พ.ย. 2565

43 views

-สุดเถื่อนแก๊งช่างกลจับ 3 วัยรุ่น ต่างสถาบันขังในบ้านย่านซอยรามคำแหง รุมซ้อมจนสลบ ก่อนปลุกบังคับให้กินฉี่แก้ช้ำใน ใช้ปืนกลจ่อหัวบังคับให้แลกลิ้น อมนกเขา ถ่ายคลิปไว้เป็นหลักฐาน ด้านผู้เสียหายเล่ามีดาวดังติ๊กต๊อกร่วมขบวนการเผาขนเพชร-อวัยวะเพศ

ด้านผู้ปกครองสุดทนแจ้งความเอาเรื่องถึงที่สุดไม่รับคำขอโทษ ชี้พฤติกรรมอุกอาจ ทำให้อับอาย เป็นอย่างมาก ทนายรณณรงค์ จี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเร่งรัดคดี เชื่อตำรวจท้องที่ทำคดีไม่ได้ เพราะมีอาวุธสงคราม ผ่านมาหลายวันยังจับไม่ได้ครบ หวั่นก่อเหตุซ้ำ

-หนุ่มตาดีเห็นเด็กหญิง ซ้อนท้ายจยย. ชายสูงวัย ส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ “ช่วยด้วย ช่วยด้วย” ก่อนแจ้งตำรวจบ้านฉาง ขี่รถไล่ติดตามอย่างกระชั้นชิด ก่อนพุ่งชนคันก่อเหตุ ส่วนเด็กกระโดดลงรถหนีเอาตัวรอด ตำรวจบาดเจ็บ 2 นาย ส่วนคนร้ายประคองรถขี่หลบหนี

ด้านเด็กเผยลุงออกอุบายให้ช่วยย้ายตู้ในห้องก่อนข่มขืน 1 ครั้ง ก่อนบังคับให้ขึ้นรถโดยไม่บอกจุดหมายเมื่อเห็นท่าไม่ดี จึงได้ส่งสัญญาณปากขอความช่วยเหลือ ส่วนพลเมืองดี ระบุเห็น เด็กส่งสัญญาณ มาตลอดทาง ก่อนแจ้งกู้ภัยและตำรวจช่วยเหลือ-สกัดจับรถคันก่อเหตุได้ทัน

-บิ๊กโจ๊ก สั่งเร่งรัดคดีทุนจีน นอมินีถือ 2 สัญชาติ จ่อขอหมายค้น 30 จุด ตรวจสอบความเชื่อมโยง พร้อมเรียกสอบคนไทย คนมีชื่อเสียง สวมชื่อซื้อรถหรู-ที่ดิน คาดไม่เกิน 3 สัปดาห์รู้ผล ระบุใครที่อยู่เมืองไทย ต้องจับให้หมด รวมถึงคนไทยที่ช่วยเหลือ ส่วนคนหนีไม่รอดเตรียมขอหมายแดง ตามจับทั่วโลก เอาตัวมาดำเนินคดี

-เผยภาพนาทีชีวิต ยายอายุ 71 ปี ขี่รถจักรยานไฟฟ้าย้อนศร ดูขบวนแห่ถูกรถเก๋งพุ่งประสานงาเข้าอย่างจัง ร่างกระเด็นลอยฟาดพื้นเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ ตำรวจคาด ความเป็นผู้สูงอายุ ทำให้เกิดพลั้งเผลอ จึงเกิดเหตุสลดขึ้น ด้านคู่กรณี มีความผิดฐานขับรถประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นเสียชีวิต

-ฟีฟ่าไม่ยอมลดราคาลิขสิทธิ์ฟุตบอลโลก ชี้หากต้องการราคาต่ำต้องซื้อไปเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ย้ำจะไม่ขายแพคเก็จย่อยให้ถูกลง พร้อมขีดเส้นตายต้องจบในวันที่ 18 พ.ย.นี้ เพื่อโอนเงินพร้อมภาษีในวันที่ 19 พ.ย.

ด้าน กกท.แจงเหลืออีก 6 วัน เร่งส่งหนังสือขอสนับสนุนเงินอีก 600 ล้าน ไป บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ๊ป จํากัด (มหาชน) และบริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) (ปตท.สผ.) แต่ยังไม่มีการตอบกลับ



เรื่องเล่าการเมือง

-นิด้ามีผลสำรวจ "คนที่ใช่ พรรคที่ชอบ" ออกมาอีกแล้ว ครั้งนี้เป็นผลสำรวจประชาชนในภาคกลาง หลังจากก่อนหน้านี้มีภาคอื่น ๆ ออกมาหมดแล้ว

สำหรับบุคคลที่คนภาคกลางจะสนับสนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรีในวันนี้ พบว่า

- อันดับ 1 เป็น น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ได้คะแนนร้อยละ 24.18

- อันดับ 2 เป็นนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ได้คะแนน ร้อยละ 16.73

- อันดับ 3 คือ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ได้ร้อยละ 16.23

- อันดับ 4 ร้อยละ 13.54 ระบุว่า ยังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้

- อันดับ 5 พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส

- อันดับ 6 คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์

- อันดับ 7 นายกรณ์ จาติกวณิช

ส่วนคนอื่นๆ นายอนุทิน ชาญวีรกูล มาเป็นอันดับที่ 8 ได้คะแนนร้อยละ 2.05

-นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ มาอันดับที่ 12

-และนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ อันดับที่ 13

ส่วนพรรคการเมืองที่คนภาคกลางจะเลือกให้เป็น ส.ส.ทั้งแบบแบ่งเขตและแบบบัญชีรายชื่อ พบว่า พรรคเพื่อไทยได้คะแนนนำโด่งมาเป็นอันดับ 1 ทั้ง 2 ระบบ ได้คะแนนร้อยละ 32

อันดับ 2 เป็นพรรคก้าวไกล ได้ร้อยละ 19

อันดับ 3 ยังไม่ตัดสินใจ

ต่อมาเป็นพรรคพลังประชารัฐ / พรรคประชาธิปัตย์ / พรรคเสรีรวมไทย

ถ้าย้อนกลับไปดูผลสำรวจของนิด้าโพลรายภาคที่เปิดออกมาก่อนหน้านี้ รวมทุกภาค ก็จะเป็นตามนี้

คือ อุ๊งอิ๊ง นำมาเป็นที่ 1 ใน 3 ภาค คือ ภาคอีสาน ภาคเหนือ และภาคกลาง ซึ่งคะแนนนำโด่งมาพอสมควรโดยเฉพาะในภาคอีสาน อุ๊งอิ๊งได้คะแนนนิยมถึงร้อยละ 36.45

สำหรับที่ภาคใต้ พล.อ.ประยุทธ์ นำโด่งมาเป็นอันดับ 1 ได้ร้อยละ 23.94 / อุ๊งอิ๊งที่ 2 ได้ร้อยละ 13.24

ส่วน กทม. นายพิธา มาเป็นอันดับ 1 ร้อยละ 20 / คะแนนไม่ทิ้งห่างอันดับ 2 และ อันดับ 3 คือ พล.อ.ประยุทธ์ และ อุ๊งอิ๊ง มากนัก


-ยังคงมีแรงกระเพื่อมในพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อวานตระกูลเสนพงศ์ ประกาศลาออกจากสมาชิกพรรคหลังไม่มีชื่อเป็นว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ของพรรค จากที่พรรคจัดเปิดตัวอย่างเป็นทางการไปเมื่อวันเสาร์

นายพงศ์สินธุ์ เสนพงศ์ น้องชายของ นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ ได้ออกแถลงการณ์ลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่า ขอลาออกจากพรรค หลังจากพรรคเปิดตัวผู้สมัคร ส.ส.นครศรีธรรมราช โดยไม่มีชื่อของตนเอง ทั้งที่ตนเคยเป็นผู้สมัครเก่าของพรรคในการเลือกตั้งซ่อมที่ จ.นครศรีธรรมราช เมื่อปีที่แล้ว

นอกจากนี้พี่ชาย คือ นายเทพไท ก็เป็นอดีต ส.ส. ของพรรค 4 สมัย ได้ทำหน้าที่ปกป้องพรรค ต่อสู้ให้กับพรรคอย่างเข้มแข็ง ยืนหยัดต่อสู้กับระบอบทักษิณ จนถูกฟ้องมีคดีความ 23 คดี

นายพงศ์สินธุ์ ระบุว่า เมื่อแนวทางของพรรคเป็นเช่นนี้ จึงจำเป็นต้องพิจารณาตัวเองด้วยการลาออก โดยสมาชิกในครอบครัวตระกูลเสนพงศ์ได้ตกลงใจพร้อมกัน ขอลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ โดยจะยื่นใบลาออกในสัปดาห์นี้

ขอยืนยันว่า "สมาชิกในครอบครัวตระกูลเสนพงศ์ไม่ได้ทิ้งพรรคประชาธิปัตย์ แต่พรรคประชาธิปัตย์ต่างหากที่ทอดทิ้ง ไม่ให้โอกาสสมาชิกของคนในตระกูลเสนพงศ์"

ขณะที่นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่า ไม่มีใครทิ้งใคร ยืนยันว่า การพิจารณาตัวผู้สมัครของพรรคเป็นไปตามความเหมาะสม ตามขั้นตอน พรรคให้ความเป็นธรรมกับทุกคน และต้องเป็นไปตามผลสำรวจที่ออกมาด้วย

สำหรับเส้นทางการเมืองของตระกูล "เสนพงศ์" สะดุดลงหลังจากนายเทพไท และน้องชายอีกคน คือ นายมาโนช เสนพงศ์ อดีตนายก อบจ.นครศรีธรรมราช โดยดำเนินคดีข้อหาทุจริตเลือกตั้งนายก อบจ.นครศรีธรรมราช เมื่อปี 2557 ทำให้นายเทพไท ต้องหลุดจากตำแหน่ง ส.ส. และต่อมาถูกตัดสินจำคุก 2 ปี ทั้งสองคน

และในการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.แทนนายเทพไท พรรคประชาธิปัตย์ ได้ส่งนายพงศ์สินธุ์ ลงสมัคร แต่แพ้ผู้สมัครจากพรรคพลังประชารัฐ


-ยังมีประเด็นเกี่ยวกับกระแสข่าวการย้ายพรรคของ พล.อ.ประยุทธ์ เมื่อวานนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ แสดงความเห็น ที่เหมือนส่งสัญญาณเตือนไปที่ท่านนายกฯ

ผู้สื่อข่าวถาม นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีพาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ว่าอนาคตทางการเมืองของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะมีผลกับพรรคประชาธิปัตย์หรือไม่ นายจุรินทร์ ระบุว่า ไม่ขอตอบ เพราะพรรคประชาธิปัตย์ก็ต้องเดินหน้าในฐานะความเป็นประชาธิปัตย์ จะให้ไปคิดเหมือนทุกพรรคไม่ได้ และจะให้ทุกพรรคคิดเหมือนพรรคประชาธิปัตย์ก็ไม่ได้ แต่ละพรรคก็มีความแตกต่างกัน

ส่วน พล.อ.ประยุทธ์ จะไปอยู่กับพรรคใด ท่านต้องคิด เพราะหากไปเป็นแคนดิเดตนายกฯของพรรคที่ได้ ส.ส.ต่ำกว่า 25 เสียง ท่านก็จะหมดโอกาสกลับมาเป็นนายกฯ



-ส่วนนายกฯ เมื่อวานเดินทางกลับจากไปร่วมประชุมอาเซียนที่ประเทศกัมพูชาแล้ว ท่านยังคงไม่ให้สัมภาษณ์ประเด็นการเมือง และเน้นย้ำขอร้องฝ่ายต่าง ๆ อย่าสร้างปัญหาในช่วงการประชุมเอเปค

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังเดินทางกลับจากการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนที่ประเทศกัมพูชา ว่า การเดินทางไปร่วมประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนครั้งนี้เหมือนไปดูงานก่อนประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเอเปค

ทั้งนี้นายกฯ ได้เน้นว่า ขอความร่วมมือว่าอย่าทำอะไรให้เกิดปัญหาในช่วงประชุมเอเปค ที่รัฐบาลทำอยู่ในวันนี้เพื่อเดินไปสู่อนาคต งานนี้ถือเป็นงานส่งท้ายปีเก่าก่อนไปสู่ปีใหม่ ในปีหน้า ทุกอย่างจะผลิดอกออกผล ไปสู่สิ่งที่ดีกว่า / ก่อนจะย้ำว่า ขอให้เห็นใจเจ้าหน้าที่ตำรวจทหารบ้าง ไม่มีใครอยากทำให้เกิดความรุนแรง

ขณะที่ นายรังสิมันต์ โรม โฆษกพรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีสำนักนายกรัฐมนตรี ประกาศกำหนด 20 สถานที่ ห้ามชุมนุมสาธารณะ กีดขวางทางเข้าออก หรือรบกวนการปฏิบัติงาน หรือการใช้บริการสถานที่ ระหว่างการประชุมเอเปค ว่า ในการประชุมครั้งสำคัญๆ ก็จะเป็นที่ต้องการในการส่งเสียงของทุกกลุ่ม ผู้นำรัฐบาลที่เข้าร่วมประชุมก็ต้องการแสดงความเห็น ภาคประชาชนก็มีเช่นกัน

ซึ่งประชาชนก็มีหลากหลายกลุ่ม ตนคิดว่าควรเปิดพื้นที่ให้ประชาชนสามารถส่งเสียงได้ แต่น่าเสียดายที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ปิดตาย ตนมองว่าการกระทำเช่นนี้เป็นการยิ่งตอกย้ำ ว่าประเทศไทยไม่ได้เป็นประเทศที่มีการเคารพระบอบประชาธิปไตยจริงๆ ซึ่งปกติเวลามีการจัดประชุมที่ประเทศอื่นก็มีการชุมนุมเช่นกัน ตราบใดที่ยังไม่ถึงขนาดทำลายงาน ก็ต้องเปิดพื้นที่ให้ประชาชน ผู้นำประเทศอื่นๆ ที่เป็นประชาธิปไตยรู้เรื่องนี้ดี สิ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์ทำ ไม่ได้ทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศไทยดีขึ้นเลย


รับชมผ่านยูทูปได้ที่ : https://youtu.be/82EOsz2IyAs

คุณอาจสนใจ

Related News