สังคม

สธ.แจง 'ฝีดาษลิง' คนแรกในไทย ย้ำไม่ได้ติดต่อง่าย ยันวัคซีนฝีดาษ 40 ปี ยังมีคุณภาพ

โดย passamon_a

23 ก.ค. 2565

185 views

อธิบดีกรมควบคุมโรค แจงผู้ป่วยฝีดาษลิงรายแรกในไทย มีผู้เสี่ยงสูงสัมผัสใกล้ชิด 2 ราย กรมวิทย์ฯ แถลงผลการตรวจสอบวัคซีนฝีดาษ เก็บมา 40 ปี ยังใช้กระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ เตรียมพิจารณาเป็นทางเลือก  


เมื่อวันที่ 22 ก.ค.65 นายแพทย์โอภาส การย์กวินทร์พงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค แถลงข่าวกรณีพบผู้ป่วยฝีดาษวานรรายแรกในไทย โดยระบุว่า เนื่องจากกระทรวงสาธารณสุข ประกาศให้โรคฝีดาษวานร เป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง อันดับที่ 56 ดังนั้นเพื่อควบคุมป้องกันโรค ทุกจังหวัดต้องทำแผนปฏิบัติการควบคุมโรค รายงาน และเฝ้าระวังในพื้นที่ของตนเอง ร่วมกับเจ้าพนักงานควบคุมโรค


ซึ่งจังหวัดภูเก็ตเอง ก็ได้เฝ้าระวัง และได้รับรายงานจากโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง พบชายชาวไนจีเรีย อายุ 27 ปี มีอาการต้องสงสัยเข้าได้กับโรคฝีดาษวานร เนื่องจากมีตุ่มขึ้นที่ใบหน้า ลำตัว แขน ขา อวัยวะเพศ จากนั้นได้ส่งหนองและสิ่งส่งตรวจต่าง ๆ ไปที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ก็พบว่าติดเชื้อโรคฝีดาษวานร ขั้นตอนต่อไปคือการรวบรวมข้อมูลของผู้ป่วย เสนอกรรมการวิชาการ ใน พรบ.โรคติดต่อเพื่อยืนยัน ซึ่งคณะกรรมการวิชาการ พรบ.โรคติดต่อก็ได้ประกาศยืนยัน เมื่อช่วงเย็นวันที่ 21 กรกฎาคม 2565


จากการหาผู้สัมผัสเสี่ยงสูง พบว่ามีผู้สัมผัสเสี่ยงสูง 2 ราย เป็นเพื่อนของผู้ติดเชื้อ ซึ่งทั้ง 2 คนยังไม่มีอาการป่วย กรมควบคุมโรคจึงส่งสิ่งส่งตรวจ ไปหาเชื้อ ยังไม่พบว่าติดเชื้อ แต่ตามมาตรการ ต้องสังเกตอาการ หรือกักตัวอีก 21 วัน


นอกจากนั้น เจ้าหน้าที่ได้ไปค้นหาผู้เสี่ยงติดเชื้อเพิ่มเติ่มในจุดเสี่ยง คือ สถานบันเทิง 2 แห่ง ที่ผู้ติดเชื้อไปเที่ยว มีผู้ร่วมใช้บริการทั้งหมดรวม 142 คน พบว่ามี 6 คน มีอาการใกล้เคียง คือมีไข้ เจ็บคอ เบื้องต้นส่งสิ่งส่งตรวจไปห้องปฏิบัติการ 4 ราย ยังไม่พบการติดเชื้อ จึงให้กักตัวตามมาตรการไปอีก 21 วัน ส่วนอีก 2 รายอยู่ระหว่างติดตามผล นอกจากการค้นหาเชิงรุกแล้ว ทีมสอบสวนโรคยังได้ไปเข้าทำความสะอาดฆ่าเชื้อที่ห้องของผู้ติดเชื้อแล้ว พร้อมทั้งรายงานการพบผู้ติดเชื้อฝีดาษวานร หรือฝีดาษลิง ให้องค์การอนามัยโลกรับทราบแล้ว


จากข้อมูลการติดเชื้อของโรคฝีดาษลิง ในช่วงหลายเดือน พบว่าจำนวนการติดเชื้อมีประมาณหลักหมื่น (12,608 ราย) กระจายใน 66 กว่าประเทศ แต่ถ้าเปรียบเทียบกับโควิด-19 จะเห็นว่าในเวลาไม่กี่เดือน พบผู้ติดเชื้อเป็นหลักล้านคน ในรายละเอียดจะพบว่าโรคฝีดาษวานร จะพบในทวีปยุโรป ทวีปอเมริกา และทวีปเอเชียบางประเทศ ประเทศที่มีผู้ติดเชื้อมากสุดคือ สเปน มีผู้ป่วย 2,000 กว่าราย เยอรมัน 1,859 ราย สหรัฐอเมริกา 18,190 ราย


ทั้งนี้ต้องเน้นย้ำกับประชาชน ว่าโรคฝีดาษวานร ไม่ใช่โรคที่มีความรุนแรงมากนัก และสิ่งที่ต้องย้ำเตือนประชาชน ลักษณะสำคัญของโรคฝีดาษวานร คือการมีตุ่ม ถ้าใครมีอาการเสี่ยง ควรพบแพทย์ เพื่อทำการตรวจต่อไป นอกจากนั้นโรคนี้ไม่ได้ติดต่อง่าย จะติดจากการสัมผัสใกล้ชิด มาตรการที่เราใช้ปัจจุบันสามารถป้องกันโรคฝีดาษวานรได้ และที่สำคัญไม่ควรตีตรา ลดค่าความเป็นมนุษย์ของผู้ป่วยด้วย โรคนี้จะมีระยะเวลาของโรคไม่นาน ถ้าเป็นแล้ว ตุ่มหนองจะค่อย ๆ แห้งและหายไป


ด้าน กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข แถลงข่าวผลการตรวจสอบวัคซีนฝีดาษขององค์การเภสัชกรรม (ที่เก็บรักษาไว้) โดย นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เผยว่า ต้องทำความเข้าใจก่อนว่าวัคซีนฝีดาษลิงโดยตรงยังไม่มี ตอนนี้ที่ประเทศไทยมีคือวัคซีนฝีดาษคน โดยหลายประเทศมีเก็บวัคซีนชนิดนี้ไว้ป้องกันการก่อการร้ายด้วยอาวุธทางชีวภาพ เก็บในห้องแล็บบางประเทศเท่าที่ทราบ คือ อเมริกาและรัสเซีย ซึ่งมีวิจัยว่าสามารถใช้ป้องกันฝีดาษลิงได้ 85%


ตอนนี้วัคซีน Smallpox Vaccine ที่นำมาตรวจสอบจากองค์การเภสัชกรรม คือวัคซีนรุ่นแรก (first generation) ผลิตตั้งแต่ปี 2522-2523 จำนวน 13 รุ่น และนำมาตรวจสอบทุกรุ่น เด็กที่เกิดหลังปี 2523 จะไม่ได้รับวัคซีนตัวนี้เพราะมีการยกเลิกฉีดไปแล้ว จากการตรวจทางกายภาพและทางเคมีฟิสิกส์ของวัคซีน พบว่าไม่มีการปนเปื้อนของสารพิษ เชื้อรา และแบคทีเรีย ผลข้างเคียงหลังการฉีดมีเล็กน้อย เช่น เยื่อหุ้มสมองอักเสบ ไขสันหลังอักเสบ เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ ผลข้างเคียงเหมือนกับวัคซีนที่เป็นไวรัสชนิดอื่น ๆ มีรายงานเรื่องผลข้างเคียงต่ำมาก


ณ ปัจจุบันคือ วัคซีนรุ่น 3 เป็นของต่างประเทศ วิธีใช้คือฉีดใต้ผิวหนังและไม่ต้องสกิดผิวก่อนฉีด คนละแบบกับวัคซีนรุ่น 1 ที่ไทยมี ตอนนี้ 500,000 โดส แม้จะเก็บมา 40 ปี ยังคงใช้สำหรับการกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ และต้องมีการสกิดผิวแบบปลูกฝีก่อนฉีด ถ้าวันนึงจำเป็นจะต้องใช้ ให้พิจารณาเป็นทางเลือก แต่ประเทศต้องพิจารณาวัคซีนรุ่น 3 จากต่างประเทศมาใช้ด้วย


การติดเชื้อในประเทศไทยยังไม่น่าเป็นห่วงเพราะการติดเชื้อต้องใช้การสัมผัสอย่างใกล้ชิดมากแบบนัวเนียเท่านั้น วัคซีนควรไว้ใช้ฉีดกับกลุ่มเฉพาะ เช่น กลุ่มคนใกล้ชิด กลุ่มผู้เลี้ยงสัตว์ป่า ไม่ใช่สำหรับฉีดให้กับบุคคลทั่วไป คนที่ภูมิคุ้มกันดีจึงต้องพิจารณาว่าผู้ที่ได้รับวัคซีนจะได้รับประโยชน์คุ้มค่ากันหรือไม่สำหรับผลข้างเคียง เช่น มีรอยแผลเป็นจากการฉีด ตอนนี้เก็บวัคซีนไว้ก่อน จำเป็นเมื่อไหร่ค่อยนำมาใช้


ด้าน ดร.สุภาพร ภูมิอมร ผู้อำนวยการสถาบันชีววัตถุ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า เนื่องจากวัคซีนเป็นรุ่นแรก เอกสารเกี่ยวกับวัคซีนและการขึ้นทะเบียนเหมือนวัคซีนในปัจจุบันจะไม่เหมือนกัน การจะนำมาใช้ต้องชั่งระหว่างความเสี่ยงและประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับ



รับชมทางยูทูบที่ : https://youtu.be/e_l9uiO3vEg

คุณอาจสนใจ

Related News